Wed, 19 February 2025
พยายามฝึกการปฏิบัติอย่าเว้นวรรค ฝึกตั้งแต่ตื่นจนหลับ ฝึกไปเรื่อยๆ มีสติรู้กายรู้ใจอย่างที่มันเป็นไปเรื่อยๆ ดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงาน อย่างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ปุ๊บ เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศล รู้ทัน อันนี้แบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่งก็คือตาหลงไปดูรูป รู้ทันตา หลงไปฟังเสียง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปรู้สัมผัสทางกาย รู้ทัน ใจเราหลงไปคิด รู้ทัน นี่รู้พฤติกรรมของจิตที่เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉะนั้นจะดูจิตสุข จิตทุกข์ จิตดี จิตชั่ว อันนี้จิตเกิดร่วมกับเจตสิก อย่างนี้ก็ได้ จะดูจิตที่เกิดดับทางทวารทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ได้ แล้วก็เห็นไตรลักษณ์เหมือนกัน หัดรู้หัดดูไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะได้ของดี อย่าเว้นวรรค มีเวลาเมื่อไรปฏิบัติทันที ไม่เอาเวลาไปนั่งเล่นอินเทอร์เน็ต นั่งคุยตลอดเวลา ฟุ้งซ่าน ไม่ได้เรื่องหรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 มกราคม 2568 |
Tue, 18 February 2025
เราทำอะไรเราก็จะได้ผลอย่างนั้น เราก็พยายาม ไหนๆ เราก็เจอศาสนาพุทธแล้ว ก็มาสร้างคุณงามความดีให้ตัวเอง ทำทานให้เป็น ถือศีลให้เป็น ทำสมาธิให้เป็น เจริญปัญญาให้เป็น สะสมไป ถ้าบุญวาสนาบารมีพอ เราก็จะบรรลุมรรคผลในชีวิตนี้ ถ้าไม่พอ ชาติหน้าจะภาวนาง่ายกว่านี้ เพราะจิตมันคุ้นเคยกับการปฏิบัติแล้ว อย่างจิตมันคุ้นเคยกับการถือศีลอย่างนี้ มันก็ถือศีลง่าย จิตมันคุ้นเคยการทำทาน มันก็ทำทานได้ง่าย จิตมันเคยฝึกสมาธิ มันก็ทำสมาธิง่าย จิตมันเคยเดินวิปัสสนา มันก็เกิดวิปัสสนาญาณง่าย ของฟรีไม่มี ทั้งหมดอยู่ในกฎแห่งกรรม คนที่เขาง่ายนี่เพราะเขาทำมาก่อนแล้ว เขาลำบากมาแล้ว ของเราถ้ามันรู้สึกยังไม่ง่ายก็อดทน ไม่ใช่มันยากเกินไปแล้วไม่ทำ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 มกราคม 2568 |
Mon, 17 February 2025
ตรงที่จิตมันปรุงแต่งของมันตามธรรมชาติธรรมดา อันนั้นไม่ต้องไปห้ามมัน ไม่ผิด จิตมันจะปรุงสุขก็รู้เอา จิตมันจะปรุงทุกข์ก็รู้เอา จิตมันปรุงไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้เอา จิตมันปรุงกุศลก็รู้ มันปรุงโลภ ปรุงโกรธ ปรุงหลง ปรุงฟุ้งซ่าน ปรุงหดหู่ มันจะปรุงอะไรก็เรื่องของมัน หน้าที่ของเรามีแค่ตามรู้ไป ถ้าเรารู้มันด้วยจิตใจปกติ ฝึกเรื่อยๆ จนใจเราเป็นปกติ เราจะแยกแยะความปรุงแต่งออกได้ง่าย ถ้าจิตเราไม่เคยประภัสสรเลย ไม่เคยเป็นจิตธรรมดาเลย เราเข้าไปปรุงแต่งตลอด เราก็จะไม่รู้จักจิตธรรมดา พอเราไม่รู้จักจิตธรรมดาจะแยกไม่ออกว่า นี้เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาสู่จิต หรือว่าเป็นอะไรกันแน่ ถ้าเรามีจิตที่ธรรมดา เราจะเห็นสิ่งที่แปลกปลอม ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าเราไปปรุงแต่งจิต จิตเราปนเปื้อนแล้ว มันถูกความปรุงแต่งที่เราจงใจทำเข้าไปปนแล้ว เวลามีความปรุงอื่นผ่านมา เราแยกไม่ออกแล้ว ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นจิตปรุงแต่ง หรือว่าเราไปปรุงแต่งจิต 2 อันนี้ไม่เหมือนกัน จิตมันปรุงกิเลสกับกิเลสมันปรุงจิต ถ้าเราสังเกตให้ดีมันจะมี 2 อัน อันหนึ่งเราไม่ได้เจตนาที่จะปรุงแต่ง แล้วความปรุงแต่งมันเกิดขึ้น มันปรุงไปด้วยความเคยชินของจิต หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 4 มกราคม 2568 |
Tue, 28 January 2025
จับหลักให้แม่นๆ ถ้าเราต้องการทำความสงบ ให้น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง ตัวที่เป็นพระเอกในการทำสมถะ คืออารมณ์กรรมฐาน ที่เราถนัด ที่เราพอใจ อยู่แล้วสบายใจ ตัวนี้เป็นพระเอกคือตัวอารมณ์ ฉะนั้นเราก็เอาจิตเรา ไประลึกรู้อารมณ์อันนั้นไปเรื่อยๆ สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง เรารู้อารมณ์ที่มีความสุขอันนั้น ไม่นานหรอกก็จะสงบ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 ธันวาคม 2567 |
Mon, 27 January 2025
เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่าง โดยการฝึกกรรมฐาน อ่านจิตตัวเองให้เป็น แล้วเราอยู่ในภาวะอันไหน สิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ปรากฏการณ์ทั้งหลาย จะไม่กระเทือนเข้ามาถึงใจเรา จิตใจเราจะสงบจิตใจเราจะมั่นคง จิตใจเรามีความสุขอยู่ในตัวของตัวเอง ไม่ขึ้นกับฤดูกาล ดิน ฟ้า อากาศ ไม่ขึ้นกับระยะเวลาอะไรทั้งสิ้น ฝึกเอา อ่านจิตตัวเองไป หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 ธันวาคม 2567 |
Mon, 20 January 2025
ศีลข้อที่เสียบ่อยคือศีลข้อ 4 พูดจาที่ไม่ดีมีระดับ อันหนึ่งพูดเท็จพูดโกหก อันหนึ่งพูดส่อเสียด พูดให้เขาเกลียดกันให้เขาทะเลาะกัน ทุกวันนี้เยอะมากเลยเรื่องตัวนี้ อย่างเราไปด่าคนลงในโซเชียล พอเริ่มด่าสักคนหนึ่ง คนอื่นจะเข้าไปด่าด้วย ถูกกระตุ้น เพิ่มกระแสความเกลียดชัง ทำให้เขาขัดแย้งกันเขาแตกแยกกัน อีกเรื่องหนึ่งก็พูดคำหยาบ พูดคำหยาบก็ออกมาจากใจที่หยาบ ใจที่สำรวมระวัง ไม่พูดคำหยาบ อีกอย่างหนึ่งเรียกว่าพูดเพ้อเจ้อ พูดโดยไม่จำเป็นต้องพูด ทุกวันนี้พูดเพ้อเจ้อเยอะ เล่นทางโซเชียล เล่นอินเทอร์เน็ตกันก็เขียนเล่าโน้นเล่านี้ ถ้าเราภาวนาเราจะรู้ การพูดบั่นทอนพลังของจิต คนพูดมากๆ พลังจิตจะอ่อนลงๆ จิตฟุ้งซ่าน แล้วเราพูดเท่าที่จำเป็น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 ธันวาคม 2567 |
Thu, 16 January 2025
สิ่งที่ผิดก็มี 2 อันเท่านั้น ก่อนที่จะเข้าสู่ทางสายกลาง อันหนึ่งหลงไปเที่ยวแสวงหาอารมณ์ต่างๆ เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค อารมณ์ต่างๆ ล้วนแต่เรื่องกามคุณอารมณ์ทั้งนั้น อีกอันหนึ่งเป็นอัตตกิลมถานุโยค เพ่งจ้องเอาไว้ ทำตัวเองให้เนิ่นช้าให้ลำบาก ทางสายกลางก็คือต้องไม่สุดโต่งไป 2 ฝั่งนี้ อันหนึ่งลืมอารมณ์กรรมฐาน อันหนึ่งไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน 2 อัน ถ้าลืมอารมณ์กรรมฐานแล้วเรารู้ปุ๊บ จิตจะทรงสัมมาสมาธิทันทีเลย แต่ถ้าเพ่งอารมณ์กรรมฐานอยู่ มันยังเพ่งต่อได้อีก รู้ว่าเพ่ง เราก็ยังเพ่งได้อีก ให้รู้ทันเบื้องหลังของการเพ่ง คือความโลภ โลภะตัวเดียวนี้ล่ะ ตัวอยากดี ถ้ารู้ตัวนี้ การเพ่งก็จะดับ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 ธันวาคม 2567 |
Wed, 15 January 2025
ดูอย่างไรจะเห็นจิตผู้รู้ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ง่ายๆ เลย ก็ดูจิตเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้แล้วก็ดับ เกิดจิตดูรูป จิตดูรูปเกิดแล้วก็ดับ เกิดจิตผู้รู้ จิตผู้รู้แล้วก็ดับ เกิดจิตผู้ไปฟังเสียง จิตผู้ฟังเสียงเกิดแล้วก็ดับ เกิดเป็นจิตผู้รู้ จิตผู้รู้ก็ดับ เกิดเป็นจิตผู้คิด ได้เห็นจิตมันเกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันนี้เราไม่ได้อาศัยการดูทางเจตสิกแล้ว อันนี้ละเอียดขึ้นมา เราดูผ่านอายตนะ เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงอย่างนี้จะวางจิต มันรู้ว่าจิตไม่ใช่ของดีของวิเศษ หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียกว่าทำลายผู้รู้ เพราะผู้รู้นี้เป็นศัพท์เฉพาะ หมายถึงเป็นจิตที่เราพัฒนามันขึ้นมา เอามาใช้งาน ถึงอย่างไรวันหนึ่งเราก็ต้องปล่อยวาง ถ้าไม่ปล่อยวาง เราก็จะไปเกิดเป็นพระพรหม แล้วสูงสุดของผู้ปฏิบัติ ถ้ายังไม่วางจิต ก็จะไปเป็นพรหม หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยบอกว่า ท่านพิจารณาแล้วนักปฏิบัติส่วนใหญ่เป็นผีใหญ่ ภาษาท่าน ผีใหญ่คือเป็นพรหม ภาวนาแล้วก็ไปเป็นพระพรหมกัน ต้องเดินปัญญาให้ถ่องแท้ ถึงจะเอาตัวรอดได้ “บุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา” ไม่ใช่ด้วยสมาธิ สมาธิเป็นแค่เครื่องมือตัวหนึ่ง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 21 ธันวาคม 2567 |
Tue, 14 January 2025
ถ้าเราเห็นความจริง ใจเราจะคงที่ เสถียร คงที่ไม่แกว่ง ตรงนั้นละที่เราจะมีความสุขมีความสงบ พระพุทธเจ้าบอกความสุขเสมอด้วยความสงบไม่มี คือความสงบมีความสุขมากที่สุด นิพพานคือความสงบ นิพพานคือสันติ เรียกความสงบ การปฏิบัติธรรมนั้นจะทำให้เราอยู่เหนือดีและชั่ว สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เหนือดีเหนือชั่ว เพราะเราเห็นความจริงแล้ว ดีก็ไม่เที่ยง ชั่วก็ไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง เสมอกัน เพราะฉะนั้นเวลาความสุขมา ใจก็ไม่ฟู เวลาความทุกข์มา ใจก็ไม่หดหู่ลงไป ใจสงบ มีความสงบมีความสันติในทุกๆ สถานการณ์ นี่คือสิ่งที่เราจะได้มาจากการปฏิบัติธรรม ไม่ได้ได้มาเพราะความอยาก อยากปฏิบัติอยากดีไม่ทำให้เราได้อะไรขึ้นมา แต่เราได้มาจากการเห็นความจริงของกายของใจ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 ธันวาคม 2567 |
Mon, 13 January 2025
จิตก็เป็นธาตุอันหนึ่ง เป็นวิญญาณธาตุ ก็เกิดดับหมุนเวียนไป จิตดวงใหม่ก็ไม่ใช่ดวงเดิม อย่างพวกคนจำนวนมากก็คิดว่า พวกเรามีจิตวิญญาณอยู่ พอเราตายแล้วจิตใจของเราดวงนี้ ออกจากร่างนี้ไปเข้าร่างใหม่ อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ คิดว่าจิตนี่เที่ยงจิตเป็นอมตะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้หรอกว่าจิตเองเกิดดับตลอดเวลา ถ้าเราภาวนายังไม่ละเอียดพอ เราก็เห็นว่าจิตมีดวงเดียว จิตอยู่กับตัวเรา เดี๋ยวก็วิ่งไปที่ตาแล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไปที่หูแล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไปที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย แล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไปคิดแล้วก็วิ่งกลับมา เราคิดว่าจิตมีดวงเดียว อันนี้เพราะสติปัญญาของเรายังไม่แก่กล้าพอ ต้องฝึกอีก ถ้าฝึกแล้วเราจะเห็นเลย จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น จิตนั้นเกิดดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็ว เกิดที่ตาก็ดับที่ตา เกิดที่หูก็ดับที่หู เกิดที่ใจก็ดับที่ใจ เกิดตรงไหนก็ดับตรงนั้น จิตที่เกิดที่ตากับจิตที่เกิดที่หูก็คนละดวงกัน ทำหน้าที่ได้แตกต่างกัน จิตที่เกิดที่ตาก็ทำหน้าที่เห็นรูป จิตที่เกิดที่หูทำหน้าที่ฟังเสียง เราจะเอาหูไปเห็นรูป มันทำไม่ได้ จิตมันเกิดดับทางโน้นทางนี้ในทวารทั้ง 6 หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 15 ธันวาคม 2567 |
Mon, 30 December 2024
ครูบาอาจารย์ทำเหรียญทำอะไรแจก ก็เพื่อให้กำลังใจเราให้ภาวนา อย่าไปหลงงมงาย อยากได้วัตถุมงคลหลวงพ่อ ก็ไปหารูปมาสักรูปหนึ่ง หามาเอง แล้วก็ทุกวันตั้งสัจจะว่าจะภาวนา จะรักษาศีล แค่นั้นวิเศษแล้ว สิ่งที่จะคุ้มครองเราได้ ไม่ใช่เหรียญ ไม่ใช่วัตถุมงคล วัตถุมงคลไม่อยู่ในมงคล 38 ประการ ไม่มีหรอก สิ่งที่จะรักษาคุ้มครองเราคือธรรมะ ฉะนั้นรักษาศีลไว้ ปฏิบัติธรรมไว้ สิ่งนี้จะคุ้มครองเรา คุ้มครองจากอะไร จากความชั่วร้ายทั้งหลาย คุ้มครองจากความตกต่ำของจิตวิญญาณ แล้วจะพาเราไปสู่สันติสุข สันติก็คือพระนิพพาน พระนิพพานนั้นถ้าเราเข้าถึงก็มีแต่ความสุข เป็นบรมสุขที่แท้จริง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 ธันวาคม 2567 |
Sun, 29 December 2024
ทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันความปรุงแต่งของจิต อย่างทำกรรมฐานไป หายใจไป พุทโธไป จิตหนีไปคิด เขาปรุงแต่งอะไร ปรุงแต่งอุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน ไม่ต้องแก้ จิตฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน อีกคนหนึ่ง ภาวนาหายใจไป พุทโธไป จิตหนีไปคิด ฟุ้งซ่าน แล้วรำคาญใจ ไม่ชอบเลย ทำไมมันฟุ้งนัก อยากให้มันหยุดคิด มันยังคิดอีก โมโหแล้ว มีกุกกุจจะ รำคาญใจ ให้รู้ว่ารำคาญ ไม่ต้องไปห้ามมัน รู้อย่างที่มันเป็น อย่าไปแต่งจิตให้มันดี ให้มันสุข ให้มันสงบ จิตเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น พวกปรุงแต่งจิตไม่มีอะไรมากหรอก ปรุงแต่งให้มันดี ให้มันสุข ให้มันสงบ อย่าไปแต่งมัน รู้อย่างที่มันเป็น แล้วเราจะเห็นจิตมันตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 ธันวาคม 2567 |
Sat, 28 December 2024
การเจริญสติในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องสำคัญมากเลย หลวงปู่มั่นท่านเคยสอนว่า ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน หัวใจสำคัญของการปฏิบัติคือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน หัวใจอยู่ตรงนี้ เก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิตอนเดินจงกรมไม่ได้กินหรอก วันหนึ่งจะนั่งเท่าไรจะเดินเท่าไร เวลาส่วนใหญ่ถ้าภาวนาไม่เป็น โอกาสจะได้มรรคผลนิพพานยากเหลือเกิน หลวงพ่อภาวนาเจริญสติเป็นหลักเลย บางช่วงยังพลาดพลั้งไม่ยอมทำสมาธิ รู้สึกเสียเวลา ขี้เกียจทำสมาธิ พอหลายๆ วันเข้ากำลังสมาธิไม่พอ เดินปัญญาไม่ได้จริง เพราะฉะนั้นสมาธิก็ต้องทำ เวลาส่วนใหญ่ของหลวงพ่อ ใช้การเจริญสติในชีวิตประจำวัน เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนหลวงพ่อมา ให้อ่านจิตตนเอง การเจริญสติในชีวิตประจำวันกับการอ่านจิตตนเอง มันมารวมเข้าด้วยกันได้ เราสามารถปฏิบัติในชีวิตธรรมดานี่ล่ะ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 24 พฤศจิกายน 2567 |
Thu, 26 December 2024
|
Wed, 25 December 2024
อดทน เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อไม่มีคำว่าอดทนไปไม่รอด ไม่รอดจริงๆ หลวงพ่อเป็นคนที่อดทนมาก เรียนกับท่านพ่อลี ท่านให้ทำอานาปานสติ ทำทุกวัน ทำแล้วไม่รู้จะไปต่ออย่างไร ก็ยังทำอยู่อย่างนั้น 22 ปีก็ยังทำอยู่ พอมาเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้ดูจิต หลวงพ่อดูทุกวัน ดูทั้งวันที่ดูได้ ตอนไหนดูไม่ได้ เห็นอยู่ 2 ตอน ตอนนอนหลับไม่ต้องดู ถ้าดูแล้วไม่หลับ กับตอนที่ทำงานที่ต้องคิด ถ้าไม่ใช่เวลานอนหลับไม่ใช่เวลาที่ทำงานที่ต้องคิด หลวงพ่อมีสติอ่านจิตใจตัวเองตลอดเลย นักปฏิบัติคือนักรบ สงครามครั้งนี้ไม่ใช่สงครามธรรมดา มันสงครามล้างชาติ ไม่ใช่สงครามล้างเผ่าพันธุ์ เป็นสงครามล้างชาติ คือล้างความเกิดไม่ให้เหลือต่อไป ฉะนั้นสงครามนี้สงครามใหญ่ อย่าทำอ่อนแอ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 ธันวาคม 2567 |
Tue, 24 December 2024
สิ่งที่สำคัญก็คือเรื่องของสติปัฏฐาน ถ้าเรารู้จักวิธีการปฏิบัติในสติปัฏฐาน อยู่ที่ไหนเราก็ทำของเราเอง ไม่ต้องยุ่งกับคนอื่น ไม่ต้องถามใคร สติปัฏฐานเป็นทางสายเดียวที่จะทำให้เราเข้าใจธรรมะ เข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ไม่มีเส้นทางที่สอง สติปัฏฐานนั้นเราต้องพึ่งตัวเองเรียนรู้ตัวเอง อย่าหวังพึ่งคนอื่น อย่าหวังพึ่งกระทั่งครูบาอาจารย์ ต้องเดินด้วยตัวเองให้ได้ เราไปหาครูบาอาจารย์ ไปฟังวิธีปฏิบัติ รู้วิธีปฏิบัติแล้วต้องลงมือทำเอา อย่าทอดทิ้งการปฏิบัติ ให้ใจเราอยู่กับธรรมะ ธรรมะก็จะอยู่กับเรา ใจเราทิ้งธรรมะ ธรรมะก็ไม่อยู่กับเรา ไม่มีใครเป็นเพื่อนคู่ชีวิตเราได้ตลอดหรอก มีแต่ธรรมะเป็นเพื่อนคู่ชีวิตเราตลอด อยู่กับธรรมะจนวันตาย พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วท่านบอกว่า ท่านมีธรรมะเป็นสรณะ ขนาดพระพุทธเจ้ายังเอาธรรมะเป็นสรณะเลย ไม่ใช่เอาคนนั้นคนนี้เป็นสรณะ ฉะนั้นพยายามพัฒนา รักษาศีล ทำสติปัฏฐานไป แล้วเราจะเข้าถึงธรรมะ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 ธันวาคม 67 |
Mon, 23 December 2024
สติที่แท้จริง ความหมายอันนี้คือสัมมาสติ ไม่ใช่สติธรรมดา สัมมาสติเกิดจากการเจริญสติปัฏฐาน ไม่มีวิธีอื่น ขั้นแรกเลยเราต้องมีวิหารธรรม วิหารธรรมแปลว่าเครื่องอยู่ของจิต ไม่ต้องหาว่าอันไหนเป็นวิหารธรรม ไม่ต้องคิดเอง พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ให้แล้ว สอนไว้ให้แล้ว ในมหาสติปัฏฐานสูตรก็มี มหาสติปัฏฐาน เป็นชื่อพระสูตร สติปัฏฐานมีหลายสูตร ก็มีสติปัฏฐานย่อยๆ สติปัฏฐานเต็มภูมิเลยก็เรียกมหาสติปัฏฐาน วิธีฝึก เราจะต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ เครื่องอยู่ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ อันแรกเลยเรื่องกาย อันที่สองเรื่องเวทนา คือความรู้สึกสุขทุกข์ อันที่สามเรื่องจิต อันนี้จิตที่เป็นกุศลอกุศลทั้งหลาย อีกอันหนึ่งคือธัมมานุปัสสนา อันนี้กว้างขวางมากเลย ยังไม่ต้องเรียนก็ได้ เบื้องต้นเอาของง่ายๆ เรียนเรื่องกาย เรื่องเวทนา เรื่องจิต พวกนี้ง่าย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 พฤศจิกายน 2567 |
Fri, 20 December 2024
เวลาเราภาวนาก็ต้องค่อยสังเกตไป อะไรที่ภาวนาไปแล้วมันขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า สภาวะอะไรเกิดขึ้นนี่เป็นไปเพื่อความปล่อยวางหรือเพื่อความยึดถือ สภาวะทั้งหลายตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ไหม ถ้าภาวนาแล้วไม่เข้าหลักไตรลักษณ์ ผิดแน่นอน หรือที่เราปฏิบัติอยู่นี่เป็นสมถะ หรือเป็นวิปัสสนาต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกเราก็หลงทำสมถะอยู่ แล้วเราก็คิดฟุ้งซ่านไป แล้วบอกเราเกิดปัญญา อันนี้ก็ใช้ไม่ได้ หรือบางทีเดินปัญญามากสมาธิไม่พอ อันนี้ก็ใช้ไม่ได้ ต้องสังเกตตัวเอง ไม่ต้องรอถามครูบาอาจารย์ นานๆ จะมีโอกาสถามครูบาอาจารย์สักครั้งหนึ่ง แต่สติปัญญามันอยู่กับตัวเราทุกวัน อาศัยสิ่งที่อยู่กับตัวเรานี่ล่ะ คอยสังเกตสิ่งที่เราทำอยู่นี่ ทำให้อกุศลลดลงไหม ทำให้อกุศลเกิดยากขึ้นไหม ทำให้กุศลเกิดบ่อยไหม เกิดแล้วถี่ขึ้นๆ ไหม หรือนานๆ เกิดที นี่วัดใจตัวเอง สังเกตไป ดูไปเรื่อยๆ การสังเกตกิเลสเป็นเรื่องสำคัญ ภาวนาแล้วสังเกตกิเลสออกนี่ดีมากๆ เลย ในเบื้องต้นจิตใจเรามีกิเลสอะไร เราคอยรู้ ก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วดับ ต่อไปพอเราเข้าใจธรรมะ ตรงที่เราคิดว่าเราบรรลุมรรคผล เราก็จะวัดว่าบรรลุจริงหรือไม่จริง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 ธันวาคม 2567 |
Thu, 19 December 2024
เราภาวนาเรื่อยๆ เราก็เห็นสุขเกิดแล้วสุขก็ดับ ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็ดับ กุศลเกิดแล้วกุศลก็ดับ อกุศล โลภ โกรธ หลงเกิดแล้วมันก็ดับ จิตที่ไปดูรูปเกิดแล้วก็ดับ ตรงนี้ละเอียด ละเอียดกว่าที่จะรู้จิตสุขจิตทุกข์จิตดีจิตชั่ว คือเห็นจิตมันเกิดดับทางอายตนะทั้ง 6 จิตเกิดที่ตาดับที่ตา จิตเกิดที่หูดับที่หู จิตเกิดที่จมูกดับที่จมูก เกิดที่ลิ้นดับที่ลิ้น เกิดที่ร่างกายดับที่กาย จิตเกิดที่ใจก็ดับที่ใจ จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น จิตไม่ได้มีดวงเดียว หัดภาวนาทีแรกเรารู้สึกจิตมีดวงเดียว แล้วก็เที่ยวร่อนเร่ไปทางทวารทั้ง 6 คิดว่าจิตมีดวงเดียว ดวงนี้หลงไปดูพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมา มันหลงไปฟังพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมาเข้าฐาน เห็นจิตเหมือนตัวแมงมุม เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างซ้ายเดี๋ยวก็วิ่งไปข้างขวา เดี๋ยวขึ้นข้างบนเดี๋ยวลงข้างล่าง แมงมุมมีตัวเดียววิ่งไปวิ่งมา พอเราภาวนาละเอียดเข้าๆ เราเห็นจิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น จิตเสวยอารมณ์อันไหนก็ดับพร้อมอารมณ์อันนั้น เกิดดับไปด้วยกัน มันถี่ยิบขึ้นมา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 30 พฤศจิกายน 2567 |
Wed, 18 December 2024
|
Tue, 17 December 2024
อ่านใจตัวเองให้ออก อ่านใจตัวเองได้ เราจะพบว่าการปฏิบัติไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราเห็นจิตมันทำงาน แต่กว่าจะเห็นตัวนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ฝึกกันนานพอสมควร บางคนฝึกเท่าไรก็ไม่เห็น ความคิดปิดบังสภาวะทั้งหลายเอาไว้หมด คิดเอาๆ ไม่มีวันเข้าใจธรรมะ บางทีเรียนมากไป แล้วเวลาลงมือปฏิบัติความคิดมันแทรกเยอะเลย คอยคิดนำไปเรื่อยๆ สภาวะอันนี้ชื่ออย่างนี้ ทำงานอย่างนี้ ทำแล้วมีผลเป็นอย่างนี้ สภาวะอันนี้เกิดขึ้นมาเพราะอะไร คอยคิดเอา คิดนำ แล้วไม่เห็นสภาวะจริงๆ ไม่เห็นสภาวะแล้วคิดๆ เอา สิ่งที่ได้ก็แค่ความสงบสบายใจ นึกว่ารู้แล้วจิตใจมันจะมีความสุข แต่มันล้างกิเลสไม่ได้จริง ดูสภาวะให้เป็น ดูให้ได้ เราจะเห็นสภาวะได้ ถ้าจิตเรามีกำลังพอ ตั้งมั่นขึ้นมา แล้วก็จะเห็นสภาวธรรม ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรมทั้งหลายเป็นของถูกรู้ถูกดู เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันนั้นล่ะคือการปฏิบัติที่มีสาระแก่นสารอย่างแท้จริง ถ้ายังคิดๆ เอาก็แค่นั้น ได้แต่ความสงบสบายใจ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 17 พฤศจิกายน 2567 |
Mon, 16 December 2024
วันนี้หลวงพ่อนิมนต์หลวงปู่สุจินต์มา ให้พวกเราได้กราบไหว้ ได้พบ ได้เห็น เป็นบุญ การเห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสมณะที่เป็นสมณะ หลวงปู่สุจินต์เป็นลูกศิษย์ สมัยตอนท่านเป็นฆราวาส ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่หลุย แล้วก็มาบวชกับหลวงปู่ดูลย์ มาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ ตั้งอกตั้งใจภาวนา เป็นตัวอย่างของนักต่อสู้ที่แท้จริง ท่านบวช ท่านสู้กับตัวเอง ไม่ได้สู้กับคนอื่น บางคนบวชแล้วก็ไปสู้คนอื่น แย่งชิงอะไรกัน ก็ได้ผลอย่างที่ควรจะได้ ท่านที่ต่อสู้กับตัวเอง ท่านก็ได้ผลอย่างที่ควรจะได้ของท่านแล้ว ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่บวช หลวงพ่อเจอท่านตั้งแต่ปี 2526 เจอในวัดสาขาของหลวงปู่ดูลย์ พอเห็นแล้วก็พบว่า ท่านเป็นผู้มั่นคง แน่วแน่ เด็ดเดี่ยวในการฝึกตัวเอง มีช่วงหนึ่งท่านลงมาอยู่ที่ปทุมธานี อยู่ในท้องนาโล่งๆ มีแต่กฏิ แล้วก็เป็นพื้นดินว่างๆ เลย หลวงพ่อไปกราบท่าน พอไปถึงที่หลวงปู่สุจินต์ท่านอยู่ โอ้โห ท่านเดินจงกรมอยู่กลางแดด ตอนเที่ยง ตอนบ่ายนี้ล่ะ ผิวหนังท่านลอกเป็นแผ่นๆ โดนแดดเผา หลวงพ่อเห็นหลวงพ่ออุทานเลย โอ๊ย หลวงพี่ทำไมภาวนาลำบาก ภาวนาแล้วมันทุกข์ขนาดนี้ ท่านบอกว่าท่านทุกข์เพื่อจะพ้นทุกข์ เพื่อจะไม่ทุกข์ นี่ประโยคเด็ดเลย ท่านทนยอมทนทุกข์ เพื่อวันหนึ่งจะได้ไม่ทุกข์ ของเรากลัวทุกข์ เราแสวงหาความสุข เราก็เลยทุกข์ไปเรื่อยๆ ไม่พ้นหรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 พฤศจิกายน 2567 |
Tue, 26 November 2024
ถ้าดูจิตได้ ไม่นานเราก็จะเห็นจิตไม่ใช่ตัวเรา มันไม่ใช่ตัวเราเพราะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา บังคับอะไรไม่ได้ ถ้าจิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 มันก็อาศัยจิตเกิดขึ้นมา ถ้าเมื่อไรเราเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ก็จะไม่ใช่เรา โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาลก็ไม่ใช่เรา แล้วถ้าวันใดที่ภาวนาจนเห็นความจริงว่าจิตคือตัวทุกข์ เห็นความจริงว่าจิตคือตัวทุกข์ ขันธ์ 5 ก็คือทุกข์ โลกก็คือทุกข์ จักรวาลทั้งหมดก็คือทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเลย จิตก็จะวางจิต วางจิตได้ก็คือวางขันธ์ได้ วางขันธ์ได้ก็คือวางโลกได้ ฉะนั้นหลุดพ้นที่จิตที่เดียวนี้เอง ก็จะหลุดพ้นจากขันธ์ 5 ทั้งหมดได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 พฤศจิกายน 2567 |
Mon, 25 November 2024
รู้สึกตัวไว้ รู้สึกตัวไม่เป็น ภาวนาไม่ได้จริงหรอก ได้อย่างมากก็แค่ความสงบ แล้วสงบแบบลืมเนื้อลืมตัว แล้วพลิกไปเป็นมิจฉาสมาธิ เรื่องสมาธิเป็นเรื่องสำคัญ สมาธิเราไม่ถูก ไม่ได้ฝึกให้ดี เราจะถูกหลอก 2 อย่าง อันแรกเกิดนิมิต ทำความสงบไป พอจิตเริ่มสงบนิดหน่อย นิมิตมันก็จะเกิดขึ้น อีกอันหนึ่งไปเจริญปัญญาแล้วสมาธิไม่พอ จะเกิดวิปัสสนูปกิเลส ฉะนั้นถ้าสมาธิไม่ถูก สมาธิไม่พอ ไปทำสมถะโอกาสพลาดก็สูง หลงนิมิตเอา สมาธิไม่ถูก สมาธิไม่พอ ไปเดินวิปัสสนา ก็ถูกวิปัสสนูปกิเลสเอาไปกิน หลอก คิดว่าบรรลุธรรมแล้ว บางทีคิดถึงขนาดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ฉะนั้นเลยต้องเรียนกันให้มากหน่อย เรื่องของสมาธิ คนที่ภาวนาแล้วพลาด ก็เรื่องพวกนี้ทั้งนั้น ภาวนาแล้วเพี้ยนบ้างอะไรบ้าง ไม่ได้เรียนถึงบทเรียนที่ชื่อจิตตสิกขา ถ้าเรียนรู้จิตตัวเองไม่ได้ สมาธิที่ดีที่สมบูรณ์เกิดไม่ได้หรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 พฤศจิกายน 2567 |
Tue, 19 November 2024
ความเพียรชอบกับความเพียรอย่างที่เราคิดกันมันคนละเรื่องกัน ความเพียรชอบเพียรลดละกิเลสที่มีอยู่ เพียรปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้เกิด เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรทำกุศลที่เกิดแล้วให้เจริญให้มากขึ้น จะทำได้ก็อาศัยสติ ไม่ใช่เรื่องอื่นเลย อย่างเรามีกิเลส เรามีสติปุ๊บ กิเลสดับทันทีเลย กิเลสที่มีอยู่ดับ ในขณะที่มีสติอยู่กิเลสใหม่ก็ไม่เกิด เห็นไหมเรามีสัมมาวายามะแล้ว หรือการที่เรามีสติขึ้นมา กุศลได้เกิดเรียบร้อยแล้ว แล้วถ้าสติของเราถี่ยิบขึ้นมา กุศลเราก็จะพัฒนาขึ้นไปเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ถึงจุดหนึ่งวิมุตติก็เกิดขึ้น ความเพียรจริงๆ เป็นแบบนี้ มีสติรู้เท่าทันจิตใจตัวเองไป มันปรุงกิเลสก็รู้ทันไป มันปรุงอะไรก็คอยรู้ไป ในที่สุดจิตก็มีสัมมาวายามะ มีความเพียรชอบ ส่วนที่นั่งสมาธิเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำอะไรแต่ไม่ได้มีสติ อันนั้นไม่ได้มีความเพียร อันนั้นคืออัตตกิลมถานุโยค การทำตัวเองให้ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 27 ตุลาคม 2567 |