Direct download: 680414.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ทุกข์คือรู้ในขันธ์ 5 ของเราตามความเป็นจริง รู้แล้วเห็นอะไร เห็นไตรลักษณ์ พอแจ่มแจ้งว่าขันธ์ 5 เรานี้ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ก็เป็นอันละสมุทัยได้คือหมดความอยาก ความอยากสารพัดอยาก อยากอะไร อยากให้กายให้ใจเป็นสุข อยากให้กายให้ใจไม่ทุกข์ มันก็อยากแค่นั้นล่ะ พอรู้ความจริงว่ากาย ใจ รูป นาม ขันธ์ 5 คือตัวทุกข์ ความอยากให้มันไม่ทุกข์ก็ไม่เกิด เพราะมันตัวทุกข์ จะไปอยากให้มันไม่ทุกข์ได้อย่างไร แล้วก็ไม่มีความอยากให้มันเป็นสุขด้วย เพราะมันเป็นตัวทุกข์ มันจะสุขได้อย่างไร เห็นไหม รู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็เป็นอันละตัวสมุทัย คือตัวอยากได้ ทันทีที่สิ้นตัวอยาก จิตก็ไม่หยั่งลงไป ไม่หยั่งลงในอารมณ์ ไม่หยั่งลงในภพทั้งหลาย ถ้ามีความอยาก จิตจะหยั่งลงไปเกาะเกี่ยวอารมณ์ ความทุกข์ก็ไปเกิดขึ้นอีก ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็ละความอยากได้ ละความอยากได้ จิตก็ไม่หยั่งลงไปในที่ใดที่หนึ่ง เราก็จะแจ่มแจ้งในพระนิพพานขึ้นมา อันนั้นล่ะคือมรรค คืออริยมรรค หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 เมษายน 2568

Direct download: 680413.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

สังเกตดูคนภาวนา จุดอ่อนที่สำคัญเลยก็คือไม่มีตัวรู้ที่ถูกต้อง ที่เข้มแข็ง เรื่องของสติปัฏฐาน 4 เป็นหลักสูตรการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านบอก เป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ในสติปัฏฐานถ้าสังเกตให้ดี มันจะมีกิริยาสำคัญอยู่คำหนึ่งคือคำว่า “รู้” ปัญหาก็คือคุณภาพของการรู้ มันไม่ได้มาตรฐาน ภาวนาให้ตายมันก็ทำไม่ได้ ทำไมเราทำกันแทบเป็นแทบตายไม่ได้สักที ก็ยังได้กิเลสเหมือนเดิม คือคำว่า “รู้” นี้มันเข้าใจยาก ใครๆ ก็ชอบคิดว่าตัวเองรู้ ทั้งๆ ที่กำลังหลงอยู่ก็ว่ารู้อยู่ ตัวนี้ยากมาก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 เมษายน 2568

Direct download: 680412.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เวลาเราทำวิปัสสนา เรียนรู้ลงมาในร่างกายเรานี้ เห็นทุกข์เห็นโทษของมันเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่งจิตก็พ้นจากกามโดยเด็ดขาด ขึ้นสูงขึ้นไป เราก็ไม่ต้องมาเป็นหนอนกินอุจจาระอีกต่อไป การภาวนาที่เหลืออยู่เป็นเรื่องของจิตใจ ทำจิตใจให้สงบด้วยการเพ่งรูป ทำจิตใจให้สงบด้วยการเพ่งนาม เราก็จะเห็นจิตใจจะไปเพ่งรูป ก็ยังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตไปเพ่งนามธรรมก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดูไปดูมาเราจะพบว่า ไม่ว่าจิตนี้จะไปเกิดในภพใดที่ใด วิเศษแค่ไหน ก็ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น คนจำนวนมากก็คิดว่า ถ้าไปเป็นเทวดาเป็นพรหมแล้วจะไม่ทุกข์ ไม่ใช่ เกิดที่ไหนก็เป็นทุกข์ที่นั้น เกิดทีใดก็เป็นทุกๆ ที ถ้าเดินวิปัสสนาสุดขีดจะรู้เลย แล้วจะมองไปใน 3 โลกธาตุนี้ ไม่มีที่ไหนเลยที่ว่าจิตหยั่งลงไปแล้วจะไม่ทุกข์ ถ้าเห็นได้อย่างนี้ จิตจะสลัดตัวออกจากโลกทั้งหมดเลย ทั้งกามาวจรภูมิ รูปวจรภูมิ อรูปวจรภูมิ สำเร็จเด็ดขาดลงไป หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 เมษายน 2568

Direct download: 680407.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

หลวงพ่อจะพูดภาพกว้างๆ ให้พวกเราเห็น หัวข้อที่จะพูดข้อแรกก็คือเรื่องความรู้สึกตัว หัวข้อที่สอง คือเรื่องของสมถกรรมฐาน หัวข้อที่สาม เรื่องวิปัสสนากรรมฐาน เรื่องหัวข้อที่สี่ เรื่องอริยมรรค อริยผล หัวข้อที่ห้า คือเรื่องนิพพาน เราจะไปสู่นิพพาน นิพพานเป็นสภาวะที่เราพ้นทุกข์สิ้นเชิง ฉะนั้นจะตอบโจทย์เราว่าเราจะไปสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่าง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช โรงแรม KSL Esplanade มาเลเซีย 26 มีนาคม 2568

Direct download: 680326.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ทำกรรมฐาน แล้วคอยรู้ทันจิตตัวเองไว้ จิตหลงไปแล้วรู้ หลงไปจากอารมณ์กรรมฐานก็รู้ จิตถลำลงไปเพ่งกรรมฐานก็รู้ เห็นไหมรู้อะไร รู้จิต การที่เราทำกรรมฐานแล้วเรา คอยรู้จิตนั่นล่ะเรียกว่าจิตตสิกขา จิตตสิกขาจะทำให้เราได้สัมมาสมาธิ ได้สมาธิที่ถูกต้อง จิตตสิกขาเกิดจากการที่เรามีสติรู้เท่าทันจิตตนเอง ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง จิตหลงไปคิดแล้วรู้ จิตถลำลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานแล้วรู้ รวมความแล้วต่อไปไม่ว่าจิตจะเคลื่อนไปทางไหน จะเคลื่อนไปคิด หรือเคลื่อนไปเพ่ง สติจะเกิดเอง พอเราหัดรู้เนืองๆ ซึ่งจิตใจของตนเอง รู้จิตใจตนเองเนืองๆ เรียกว่าเราฝึกอธิจิตตสิกขาอยู่ แล้วต่อไปพอจิตเราขยับเขยื้อน สติจะเกิดเอง จะเห็นโดยที่ไม่ได้เจตนาจะเห็น ถ้าเจตนาจะเห็น ยังใช้ไม่ได้ ต้องเห็นโดยที่ไม่ได้เจตนา ถ้ายังต้องจงใจเห็น ต้องพยายามเห็น เป็นกุศลที่อ่อนแอมาก กุศลที่มีกำลังกล้ามีสติเกิดอัตโนมัติ สติเกิดจากจิตจำสภาวะได้แม่น จิตจำสภาวะได้แม่นเพราะเห็นสภาวะเนืองๆ เห็นบ่อยๆ ต้องฝึก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 มีนาคม 2568

Direct download: 680323.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การที่เราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง เป็นเหยื่อล่อจิต สิ่งที่เราจะเอาจะรู้ทันคือตัวจิต มันเหมือนเราตกปลา กรรมฐานทั้งหมดคือเหยื่อตกปลา จิตคือตัวปลา เราไม่เอาเหยื่อ ใครจะไปกินไส้เดือน ใครจะไปกินแมลงกระชอน เราจะเอาปลาต่างหาก เพราะฉะนั้นทำกรรมฐานอันหนึ่ง แล้วถ้าปลาตัวนี้วิ่งมาอยู่ที่เหยื่อ อย่างจิตมันไหลไป ลงไปอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน เหมือนปลาวิ่งมาตอดเหยื่อแล้ว เรารู้ทัน ส่วนใหญ่พอมันมาที่เหยื่อ แล้วมันก็งับเหยื่อ แล้วไปไหนไม่ได้แล้ว อันนั้นคือพวกติดสมถะ ทำกรรมฐานไป แล้วจิตมันไหลไปที่เหยื่อ ไหลเข้าหาอารมณ์กรรมฐาน รู้ทัน จิตมันทิ้งอารมณ์กรรมฐาน หนีไปหาอย่างอื่น รู้ทัน อย่างเรานั่งหายใจเข้าพุทออกโธ จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น มันลืมเหยื่อแล้ว มันไม่สนใจเหยื่อ ไม่สนใจกรรมฐาน ให้รู้ทัน เพราะฉะนั้นจุดสำคัญอยู่ที่การรู้ทันจิตตัวเอง จิตไปติดอารมณ์กรรมฐานให้รู้ทัน จิตหนีจากอารมณ์กรรมฐานให้รู้ทัน รู้อย่างที่มันเป็นนั่นล่ะ ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 มีนาคม 2568

Direct download: 680322.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเรารู้กายมีจิตเป็นคนรู้ ถ้ารู้เวทนามีจิตเป็นคนรู้ ถ้ารู้สังขารก็มีจิตเป็นคนรู้ เรารู้อย่างนี้ ไม่ว่าจะรู้อะไรก็ต้องมีจิตที่เป็นคนรู้อยู่ อย่างเราฝึกเรื่อยๆ รู้สึกๆๆ พอเราหลงไปปุ๊บแล้วสติเกิด มันรู้สึกเลยร่างกายที่นั่งอยู่ตรงนี้มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ร่างกายกับจิตนี่เป็นคนละอันกัน เราพยายามรู้สึกร่างกายเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตมีแรงขึ้นมา หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ไป ทำกรรมฐานไปที่เราถนัด แล้วจิตมันหลงแล้วรู้ แล้วจิตมันจะมีแรง พอจิตมีแรงขันธ์มันจะแยก พอขันธ์แยกแล้วแต่ละขันธ์ล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ แสดงความไม่ใช่ตัวเราทั้งนั้นเลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 16 มีนาคม 2568

Direct download: 680316.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การปฏิบัติธรรมจับหลักให้แม่นๆ แล้วก็อดทนพากเพียรทำไป ทางลัดไม่มี ทางฟลุกๆ ไม่มี ทางเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น คือการเจริญสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกเป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ทุกวันนี้มีการเผยแพร่อะไรกันวุ่นวายไปหมด ส่วนใหญ่ก็จะโชว์ว่าเป็นทางลัด ทางลัดไม่มีหรอก มีแต่ทางหลง ฉะนั้นเราอย่าไปเห่อเรื่องทางลัด ทางพ้นทุกข์มีทางเดียวคือการเจริญสติปัฏฐาน การเจริญสติปัฏฐานในเบื้องต้นทำให้เกิดสติ เบื้องปลายทำให้เกิดปัญญา เห็นไหมเป็นเรื่องของสติ เรื่องของปัญญา ไม่ใช่เรื่องนั่งคิดธรรมะแล้วก็เพลินๆ มีความสุขไป ทุกวันนี้ชอบทางลัดเพราะขี้เกียจ เพราะขี้เกียจเอะอะก็จะหาทางลัด ทางลัดไม่มีหรอก ถ้ามีครูบาอาจารย์สอนแล้ว ถ้ามีพระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว เราถนัดอันไหน เราทำกรรมฐานอันนั้น นั่นทางลัดเฉพาะตัวเรา ไม่มีทางลัดทั่วไป แต่ทั้งหมดอยู่ในหลักของสติปัฏฐานนั่นล่ะ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 มีนาคม 2568

Direct download: 680315.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

สังเกตเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเราจะเข้าใจเลย ร่างกายนี้คือทุกข์ จิตนี้คือทุกข์ ขันธ์ 5 นี้คือตัวทุกข์ งานที่พวกเราจะทำ งานรู้ทุกข์ รู้ทุกข์แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ในหลักของอริยสัจ 4 ข้อ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์คือขันธ์ 5 ร่างกายจิตใจของเรานี่เอง หน้าที่ต่อทุกข์คือรู้มันอย่างที่มันเป็น เราไม่เห็นความจริงว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็อยากให้เที่ยง อยากให้มีแต่ความสุข อยากบังคับให้ได้ อยากให้จิตมีความสุขตลอดกาล สงบตลอดกาล ดีตลอดกาล ฉะนั้นความอยากคือตัวสมุทัย รากของมันจริงๆ คือไม่รู้ทุกข์ ถ้ารู้ทุกข์เมื่อไรก็จะละความอยากได้เมื่อนั้น รู้ความจริงของกายก็จะหมดความอยากเกี่ยวกับกาย รู้ความจริงของจิตก็จะหมดความอยากเกี่ยวกับจิตใจ เพราะฉะนั้นเมื่อไรรู้ทุกข์เมื่อนั้นละสมุทัย แล้วทันทีที่สิ้นอยาก นิโรธคือนิพพานจะปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเราเลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 มีนาคม 2568

Direct download: 680302.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็กระทบอารมณ์ไปตามธรรมดา แต่กระทบแล้วเกิดความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลง ให้มีสติรู้ หัวใจหรือเคล็ดลับของการเจริญสติในชีวิตประจำวันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่อ่านใจตัวเองไป ไม่ได้อยู่ตรงที่บังคับตัวเอง ไม่ให้ดูรูป ไม่ให้ฟังเสียง ไม่ให้ได้กลิ่น ไม่ให้ได้รส ไม่ต้องหนี กระทบอารมณ์ไปตามธรรมชาติ แต่กระทบแล้วใจเรามีความเปลี่ยนแปลง เกิดสุขให้รู้เกิดทุกข์ให้รู้ เกิดกุศลอกุศลให้รู้ไป ไม่นานปัญญาจะเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรา เกิดแล้วดับทั้งสิ้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 มีนาคม 2568

Direct download: 680310.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

สติเองก็เป็นอนัตตา สั่งให้เกิดไม่ได้ สติมีการที่จิตเราจำสภาวะได้แม่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ฉะนั้นเราจะต้องมาหัดรู้สภาวะ สภาวะมีรูปธรรมมีนามธรรม สภาวะก็คือสิ่งที่ประกอบกันขึ้น เป็นร่างกายจิตใจของเรานี้เอง พยายามเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ให้มาก รู้สึกให้มาก หัดรู้ให้เห็นถึงตัวสภาวะให้ได้ แล้วสติตัวจริงถึงจะเกิด สติตัวจริงเกิดเมื่อไร สัมมาสมาธิ สมาธิที่ถูกต้องก็จะเกิดร่วมด้วยเสมอ เพราะฉะนั้นจับหลักให้แม่น หัดดูสภาวะไป ถนัดดูรูปธรรมก็ดูไป ถนัดดูนามธรรมก็ดูไป หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 มีนาคม 2568

Direct download: 680301.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

รู้สึกตัว เรียนรู้ความจริงของร่างกายไป ร่างกายนี้ไม่เที่ยง รู้สึกลงไปในร่างกาย เห็นแต่ความไม่เที่ยงของร่างกาย หรือบางคนก็เห็นลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง ร่างกายนี้ทำไมต้องหายใจออกหายใจเข้า ทำไมต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ทำไมต้องเคลื่อนไหว ต้องหยุดนิ่ง เพราะร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา หายใจออกเรื่อยๆ ก็ทุกข์ หายใจเข้าเรื่อยๆ ก็ทุกข์ นั่งนานๆ ก็ทุกข์ เดินนานๆ ก็ทุกข์ ยืนนานๆ ก็ทุกข์ นอนนานๆ ก็ทุกข์ ร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ต้องเคลื่อนไหว นั่งๆ อยู่แล้วมันคัน ก็ต้องไปเกา ทำไมต้องเกา เกาแก้ทุกข์ แก้คัน บางทีนั่งอยู่ แข้งขาปวด เราก็ไปขยำๆ นวดขาอะไร ทำไมต้องเคลื่อนไหว ก็เพราะว่ามันทุกข์ เราเคลื่อนไหวเพื่อจะแก้ทุกข์ ดูในร่างกาย เห็นไม่เที่ยง เห็นเป็นทุกข์ ดูลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง มันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันเป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมมาประชุมกันด้วยกำลังของกรรม มารวมตัวกันขึ้นมาเป็นรูปร่างอย่างนี้ แล้วก็มีจิตมีวิญญาณครอบครอง ก็มีชีวิตขึ้นมา เรามีสติเรียนรู้ร่างกายไปเรื่อยๆ เห็นร่างกายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นแค่วัตถุธาตุที่เรายืมของโลกมาใช้ชั่วครั้งชั่วคราว แล้ววันหนึ่งเราก็ต้องคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้โลก สิ่งที่เป็นร่างกายของเราวันนี้ วันข้างหน้าอาจจะไปเป็นร่างกายของหนอน เป็นร่างกายของต้นไม้ ต้นไม้ก็กินเราเข้าไปเป็นสารอาหาร หรือไปเป็นถนนให้คนเดิน กลายเป็นดินเป็นอะไรไป บางทีก็ไปอยู่ในน้ำทะเล อยู่ในแม่น้ำกระจัดกระจายไป ลมหายใจที่เราหายใจ คนอื่นมันก็เอามาหายใจมาก่อนเราแล้ว เราก็แค่ยืมลมหายใจเอามาใช้ ลมที่เราหายใจเข้าไป เราไม่รู้เลยคนอื่นหายใจมาก่อนหรือเปล่า หมามันหายใจมาก่อนหรือเปล่า ลมอันนี้ ธาตุมันหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ เห็นแล้วก็ควรสลดสังเวช ไม่น่ายึดถืออะไร ไม่ใช่ของดีของวิเศษอะไร ยืมเขามาใช้ ไม่ใช่ของสะอาดหมดจดด้วย ถึงวันหนึ่งก็ต้องคืนเจ้าของ คืนให้โลกไป หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 กุมภาพันธ์ 2568

Direct download: 680223.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พวกเราชาวพุทธทั้งหลายฝึกเดินในเส้นทางที่พระพุทธเจ้าสอน รู้ทุกข์คือรู้กายรู้ใจของตัวเอง อย่าละเลย รู้เรื่อยๆ จนวันหนึ่งเห็นความจริง ร่างกายจิตใจของเราเป็นแต่ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตมันจะเบื่อหน่ายคลายความยึดถือ พอมันไม่ยึดถือมันหลุดพ้น ต่อไปร่างกายจะแก่จิตไม่สะเทือนเลย ร่างกายจะเจ็บจิตไม่หวั่นไหว ร่างกายจะตายจิตบางทีเบิกบานด้วยซ้ำไป ตัวทุกข์มันจะแตกแล้ว จิตที่ฝึกอบรมดีแล้วนำความสุขมาให้เรา แล้วการจะฝึกอบรมให้ดีก็คือการรู้ทุกข์นั่นล่ะ ดีที่สุดเลย หัดรู้สภาวะเรื่อยๆ แล้วสัมมาสติก็เกิด สัมมาสติเกิดเมื่อไร สัมมาสมาธิก็เกิด มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะคือการเจริญปัญญาก็จะเกิด ไม่ได้คิดเอา แต่ต้องเห็นสภาวะเอา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดเขาบางทราย พระอารามหลวง 22 กุมภาพันธ์ 2568 (ช่วงเย็น)

Direct download: 680222B.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ขั้นแรกฝึกให้จิตใจอยู่กับตัวเองก่อน หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว ถ้าต้องการให้จิตพักผ่อนก็สงบลงไปอยู่ที่ลมหายใจ หรือที่อารมณ์กรรมฐาน ถ้าพักผ่อนพอแล้วก็จะอัปเกรดขึ้นมา จิตเราเคลื่อนไหวไปมา เรามีสติรู้ จิตหลงไปคิดก็รู้ หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดม หลงไปรู้สัมผัสทางกายอะไรก็รู้ รู้ทันจิตไป หรือจิตไหลไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานก็รู้ ตรงนี้ตรงที่เรารู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา จิตที่ไหลไปไหลมา เป็นจิตที่มีโมหะ มีความฟุ้งซ่านเรียกว่าอุทธัจจะ แล้วทันทีที่เราเห็นจิตไหลไปไหลมา จิตที่ไหลไปไหลมามันดับอัตโนมัติ มันจะเกิดจิตตั้งมั่นอัตโนมัติขึ้นมา พอจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว คราวนี้มันเดินปัญญาได้จริงแล้ว พอจิตเราตั้งมั่น เวลาสติรู้ร่างกายนี้ เราจะรู้เลยว่าร่างกายมันของถูกรู้ถูกดู ร่างกายไม่ใช่เรา สติระลึกรู้เวทนา เวทนาถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่เรา สติรู้สังขาร ความปรุงดีชั่วทั้งหลาย ก็เห็นความปรุงแต่งทั้งหลาย โลภ โกรธ หลงอะไร ไม่ใช่เรา เป็นสภาวะอันหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วต่อมาก็เรียน มันก็จะประณีตขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาถึงจิตถึงใจตัวเอง เห็นจิตเกิดทางตาแล้วก็ดับ เกิดทางหูแล้วก็ดับ เกิดทางใจแล้วก็ดับ จิตรู้เกิดแล้วก็ดับ จิตคิดเกิดแล้วก็ดับ จิตเพ่งเกิดแล้วก็ดับ จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับหมดเลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 กุมภาพันธ์ 2568

Direct download: 680222A.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

หัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ เริ่มต้นเรารู้คู่ใดคู่หนึ่งก็พอแล้ว เช่น จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ จิตโลภกับจิตไม่โลภ ตอนนี้อยาก ตอนนี้เฉยๆ อย่างนี้ หัดดูสิ่งที่เป็นคู่ๆ ตอนนี้สุข ตอนนี้ทุกข์ ตอนนี้สุข ตอนนี้เฉยๆ อันนี้ก็เป็นเซ็ตหนึ่งมี 3 ตัว สุข ทุกข์ เฉยๆ หัดเรียนกรรมฐานเรียนเซ็ตเดียวพอ คู่เดียวพอแล้ว อย่างเห็นจิตโกรธกับจิตไม่โกรธ ทั้งวันก็มีแต่จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ ถ้าเราดูตัวอยากทั้งวัน ก็มีแค่ตอนนี้อยากตอนนี้ไม่ได้อยาก ก็มีแค่นี้เอง หัดดูอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วเราจะเห็นว่าจิตเราเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เดี๋ยวเหวี่ยงซ้าย เดี๋ยวเหวี่ยงขวา เดี๋ยวอยาก เดี๋ยวไม่อยาก เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวไม่โกรธ ตรงที่มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา มันกำลังสอนไตรลักษณ์เรา จิตอยากก็ไม่คงที่ จิตไม่อยากก็ไม่คงที่ เห็นไหมจิตโกรธก็ไม่คงที่ จิตไม่โกรธก็ไม่คงที่ ฉะนั้นเวลาเรียนธรรมะ เรียนเป็นคู่ คู่เดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียนเยอะหรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 16 กุมภาพันธ์ 2568

Direct download: 680216.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเราจะใช้อานาปานสติทำวิปัสสนาทำอย่างไร เราก็ใช้เน้นที่ความรู้สึกตัว แทนที่จะน้อมจิต ให้มันไปแนบอยู่ที่ตัวอารมณ์ ค่อยๆ สังเกตไป อย่างเวลาเราหายใจ ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ แล้วพอจิตมันหลง หนีไปคิดเรื่องอื่น ก็ให้รู้ทันว่าจิตหลงไปแล้ว ไม่ว่ามัน จิตหลงไปแล้ว โยนมันทิ้งไป ไม่ต้องไปดึงคืน อย่าไปหวง จิตที่หลงเป็นอกุศล อย่าไปหวงมัน โยนมันทิ้งไป กลับมาทำความรู้สึกใหม่ มาหายใจใหม่ หายใจไป หายใจไป แล้วเห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ฝึกอย่างนี้ มันจะมีจิตใจที่เป็นคนดู กับมีร่างกายที่หายใจ มันจะเป็น 2 อัน ถ้ามันแยก 2 อันได้ พอสติระลึกรู้ร่างกาย แต่จิตเป็นคนดูอยู่นี้ ปัญญามันจะเกิด จะเกิดวิปัสสนาปัญญา จะเห็นร่างกายไม่ใช่จิต ร่างกายเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ร่างกายไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ไหลเข้าไหลออกไปเรื่อยๆ จิตเป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 กุมภาพันธ์ 2568

Direct download: 680215.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

จุดสำคัญอยู่ที่การพยายามพัฒนากุศลของเราให้เจริญขึ้น พยายามลดละอกุศลไป วิธีที่กุศลจะเจริญได้ดี คืออ่านใจตัวเองให้ออก ถ้าอ่านใจตัวเองออก กุศลจะเจริญอย่างรวดเร็วเลย อย่างเราเห็นใจเรามีโทสะ พอเรารู้ทันโทสะ โทสะดับเลย เราก็ไม่ผิดศีล ไม่ไปตีใคร ไม่ไปเผาบ้านเผาอะไรเขา ไม่เป็น เพราะจิตไม่ได้มีความคิดประทุษร้าย เห็นไหมถ้าเรามีสติอ่านจิตตัวเองออก การถือศีลจะไม่ใช่เรื่องยาก การทำสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องยาก เราจะทำสมาธิ ถ้าเราทำด้วยความโลภ เราอ่านใจตัวเองไม่ออก ว่านั่งอยู่นี่อยากสงบ บางคนยิ่งกว่าอยากสงบ อยากรู้ อยากเห็น อยากโน้นอยากนี้ เราทำสมาธิก็มีสติรู้ทันใจเรา สมาธิของเรานี้เจือความโลภหรือเปล่า หรือตอนที่ทำนี้เจือโทสะไหม ไม่ยอมสงบเสียทีก็โมโห อ่านจิตตัวเองให้ออก แล้วจิตเราเป็นกลาง ทำสมาธิแป๊บเดียวก็สงบแล้ว เจริญปัญญา ถ้าไม่มีสติ ก็ไม่ต้องพูดเรื่องเจริญปัญญา การเจริญปัญญาได้ อาศัยสติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม พอสติระลึกรู้ จิตอย่าจมลงไป จิตต้องตั้งมั่นเป็นแค่คนเห็นสภาวะ พอจิตเราตั้งมั่น แล้วสติระลึกลงไปที่ร่างกาย สติระลึกรู้เวทนา สติระลึกรู้เห็นกุศลอกุศล มันก็จะเห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเราตั้งมั่นอยู่ เรารู้ทันจิตที่เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เห็นไตรลักษณ์เหมือนกัน ฉะนั้นสติสำคัญ แล้วศีลจะดีก็ต้องมีสติ สมาธิจะดีก็ต้องมีสติ เจริญปัญญาก็ต้องมีสติ ขาดสติตัวเดียว ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องพูดถึงแล้ว กระพร่องกระแพร่ง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กุมภาพันธ์ 2568 (ช่วงบ่าย)

Direct download: 680212B.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ในสติปัฏฐาน 4 ไม่ว่าเราจะทำหมวดใดหมวดหนึ่ง จะทำกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทั้ง 4 ฐานนี้ มันรู้ทั้งกาย รู้ทั้งจิต เพราะฉะนั้นทำเพียงฐานใดฐานหนึ่ง สามารถทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เริ่มต้นทำจากฐานใดก็ได้ แล้วถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ทุกฐาน ทั้ง 4 ฐานนี้ ไม่ใช่ว่าต้องทำทีละฐานให้ครบ 4 ฐาน แต่บางท่านทำ 4 ฐานเลย แล้วแต่จริตนิสัย ถ้าเราไม่ได้แกร่งกล้าขนาดนั้น ฐานเดียวทำให้จริงก็จบได้เหมือนกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กุมภาพันธ์ 2568 (ช่วงเช้า)

Direct download: 680212A.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

โยนิโสมนสิการ พวกเราทิ้งไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคนี้คนพูดธรรมะ คนเผยแพร่ธรรมะเยอะแยะไปหมดเลย แต่ละแห่งแต่ละที่ก็พูดถึงธรรมะอันเดียวกันทั้งนั้น แต่ถ้าเรามีโยนิโสมนสิการ เราจะรู้ว่ามันไม่เหมือนกันหรอก บางคนพูดเหมือนกัน บอกให้มีสติรู้กายรู้ใจ ปรากฏว่าแทนที่จะมีสติรู้กายรู้ใจ กลับไปเพ่งกายเพ่งใจ เกือบร้อยละร้อยของคนปฏิบัติคือพวกนักเพ่ง ไม่ใช่พวกที่จะรู้กายรู้ใจด้วยสติจริง แต่มันเป็นสติที่เจือด้วยโลภะ เป็นการบังคับตัวเอง ทำอัตตกิลมถานุโยค ไม่ได้เดินในทางสายกลาง ฉะนั้นถ้าเรามีโยนิโสมนสิการเราต้องสังเกตตัวเอง อย่างน้อยเราก็ต้องสังเกตได้ว่าที่เราปฏิบัติมา อกุศลที่มีอยู่ลดละลงไปไหม อกุศลใหม่ เกิดยากขึ้นหรือเปล่า กุศลเกิดขึ้นบ่อยไหม อย่างสติเกิดบ่อยไหม ความเข้าใจคือปัญญา ความรู้ถูกเข้าใจถูกในสภาวะต่างๆ มีมากขึ้นไหม กุศลเกิดขึ้นหรือเปล่า กุศลที่เกิดแล้วพัฒนาขึ้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการเป็นเรื่องสำคัญมากเลย ยิ่งในยุคนี้เราไม่รู้ว่าท่านผู้ใดคือกัลยาณมิตร ต้องใช้คำนี้เลย เราไม่รู้หรอกว่าท่านใดเป็นกัลยาณมิตร เพราะว่ายุคนี้พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่มีใครออกใบเซอร์ได้ว่าคนที่ผ่านแล้ว คนนี้เป็นพระอริยะชั้นนั้นชั้นนี้ เชื่อถือได้อะไรอย่างนี้ เชื่อไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 กุมภาพันธ์ 2568

Direct download: 680209.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

นั่งสมาธิได้ครั้งละหลายๆ ชั่วโมง แต่ไม่มีสติรู้กายรู้ใจของตัวเอง นั่งแล้วเคลิ้มๆ ก็นั่งทรมานตัวเองเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไร หรือเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่มีสติรู้กายรู้ใจ ก็เดินเหนื่อยเปล่า เพราะฉะนั้นตรงอัตตกิลมถานุโยค ทรมานตัวเอง ไม่ได้นับที่เวลาหรอก แต่นับที่มีสติในการปฏิบัติหรือเปล่า ถ้าขาดสติในการปฏิบัติ แล้วก็ไปนั่งกำหนดลมหายใจ ดูท้อง ดูมือ ดูเท้า ดูลม 5 นาที มันก็คือทรมานตัวเอง 5 นาที แต่ถ้าเรามีสติอยู่ เห็นร่างกายหายใจ เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง ใจเป็นแค่คนรู้คนดูอยู่ทั้งวัน ก็ไม่จัดว่าเป็นการทรมานตัวเอง แต่เป็นการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นตัวที่จะชี้ขาดว่า ที่เราทำอยู่นี้เป็นการปฏิบัติธรรมจริงหรือเปล่า อยู่ที่เรามีสติจริงหรือเปล่า หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 กุมภาพันธ์ 2568

Direct download: 680208.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตกับการปฏิบัติธรรมนี่มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ แต่เราต้องเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรมก่อน ทุกวันนี้เราเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรมนี่มั่วมากเลยแคบมากไป คิดว่าต้องไปวัด นุ่งขาวห่มขาว ต้องนั่งสมาธิ ต้องเดินจงกรม ถึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม ที่จริงธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน เอาไปใช้ได้จริงๆ ในชีวิตของเรานี่ล่ะ อย่างฆราวาสเราก็ปฏิบัติธรรมแบบฆราวาส พระก็มีปฏิบัติธรรมแบบพระ คนที่ต้องการอยู่กับโลก ก็ปฏิบัติธรรมแบบที่จะอยู่กับโลก แล้วมีความสุขความเจริญ คนที่อยากพ้นโลกก็ปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง ทีนี้เราไปคิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องนั่งสมาธิ เดินจงกรม ต้องทำสมถะ ต้องวิปัสสนา มันก็ถูกแต่ถูกเสี้ยวเดียวส่วนเดียว ที่จริงการปฏิบัติธรรมกับการดำรงชีวิตเป็นอันเดียวกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 กุมภาพันธ์ 2568

Direct download: 680202.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พยายามศึกษาธรรมะ ศึกษาให้ดี อย่าศึกษาทางโซเชียลอย่างเดียว ธรรมะเพี้ยนๆ มากมายเหลือเกิน ถ่ายทอดกันออกไปเยอะแยะเลย สอนปริยัติเพี้ยนบ้าง สอนปฏิบัติเพี้ยนบ้าง บางทีพวกสอนปฏิบัติเพี้ยนก็น่ากลัว อันตรายกับคนที่เรียน คนสอนก็เป็นบ้า คนเรียนก็เป็นบ้าไปก็มี ไม่ใช่ไม่มี ปริยัติเพี้ยนนี่ยิ่งหนักใหญ่ พระไตรปิฎกเสียหายไป เกิดสัทธรรมปฏิรูป ปฏิบัติผิด ก็ผิดเฉพาะตัว ถ้าเอาไปสอนต่อก็ผิดต่อ แต่ปริยัติผิดแล้วเผยแพร่ออกไป คนทรงจำไว้ก็อันตราย คนยุคนี้ก็ไม่มีการศึกษาธรรมะ ก็งมงาย ใครเขาพูดอะไรหวือๆ หวาๆ ตื่นเต้น เชื่อถือ หลายเรื่อง พูดกันแล้วมันดูเท่ ดูทันสมัย ดูไม่งมงายอะไรอย่างนี้ แต่มันไม่ถูกธรรม ไม่ถูกวินัย ก็เผยแพร่กันเยอะ ต้องระมัดระวัง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 กุมภาพันธ์ 2568

Direct download: 680201.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

รู้ด้วยใจปกติเลย อย่าไปทำใจให้ผิดปกติ จิตใจปกติในการที่เราจะใช้ปฏิบัติธรรม จิตปกติของเราพระพุทธเจ้าท่านเรียกจิตเดิม จิตธรรมดาของเรานี่เอง มันประภัสสรอยู่แล้ว มันผ่องใส แต่มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา แค่อยากปฏิบัติมีโลภะเกิดขึ้น จิตก็ผิดปกติแล้ว เราจะใช้จิตใจของคนธรรมดานี่ล่ะ ปกติอย่างนี้ เรียนรู้กายเรียนรู้ใจ อย่างร่างกายเราหายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก รู้ด้วยจิตปกติ ไม่ต้องวางฟอร์มเป็นนักปฏิบัติ ต้องไม่เหมือนคนธรรมดาอะไร นี่เข้าใจผิดอย่างยิ่งเลย เสียเวลา อย่างขณะนี้ร่างกายเรานั่งอยู่ ยากไหมที่จะรู้ว่าตอนนี้นั่งอยู่ ไม่เห็นยากเลย ตอนนี้ขยับส่ายหัวอย่างนี้ ส่ายหน้า รู้สึก รู้สึกด้วยใจปกติใจธรรมดา ฉะนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากเพราะเรามีความเห็นที่ว่าการปฏิบัติต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ อย่างนี้ถูก อย่างนี้ไม่ถูก สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่าสีลัพพตปรามาส หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 26 มกราคม 2568

Direct download: 680126.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:30am +07

จิตมันก็ทำงานไปตามธรรมชาติ แล้วมันก็ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ปรุงดี ปรุงชั่ว ไปตามเรื่องของมัน หน้าที่เราคืออ่านจิตใจตัวเองให้ออก การดูจิต เราไม่ได้ดูเพื่อละกิเลส เพราะถ้าเมื่อไรมีสติ รู้ทันจิตใจตัวเอง มันไม่มีกิเลสจะให้ละ เพราะฉะนั้นเราเจอกิเลส เรื่องเล็กมากเลย มีสติรู้ปุ๊บ กิเลสดับเองเลย ไม่ต้องหาทางละกิเลส หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 มกราคม 2568

Direct download: 680125.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

1 2 3 4 5 6 7 Next » 73