เราทำต้นทางนี้ให้ดี มีสติอ่านจิตอ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ กุศลเกิดก็รู้ อกุศลเกิดก็รู้ไป ไม่ต้องคาดหวังอะไร แล้วมันจะรู้ได้เร็วขึ้นๆ เพราะสติเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ มีความเพียรชอบ ทำให้มากเจริญให้มาก ก็จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์ ฉะนั้นคอยดูจิตดูใจตัวเองที่เป็นกุศลที่เป็นอกุศลไว้ให้มากๆ สติก็จะดี สมาธิก็จะสมบูรณ์ขึ้นมา แล้วต่อไปพอสมาธิเกิดแล้ว จะเห็นไตรลักษณ์ ลำพังสติ ไม่มีสัมมาสมาธิหนุนหลัง ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ สติระลึกกาย เห็นอะไร เห็นกาย สติระลึกรู้เวทนา เห็นอะไร ก็เห็นเวทนา สติระลึกรู้กุศลอกุศล เห็นอะไร เห็นกุศล อกุศล แต่ถ้าจิตมีสัมมาสมาธิตั้งมั่น มันจะเห็นเลยว่ากายที่สติระลึกรู้ ไม่ใช่เรา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา เวทนาที่สติระลึกรู้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา กุศลอกุศลที่จิตระลึกรู้ คือสังขารทั้งหลายไม่ใช่เราๆ ค่อยดูไป พอปัญญามันแก่รอบแล้วต่อไปวิมุตติมันก็เกิดเอง พระพุทธเจ้าสอนบอกว่า ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ จิตบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาแก่รอบ ศีล สมาธิ ปัญญาแก่รอบ ต้องอาศัยการเจริญมรรคมีองค์ 8 นั่นล่ะ แต่พวกเราจะปฏิบัติทางดูจิต เราก็ตัดเข้ามาตรงสัมมาวายามะนี่เลย คอยรู้ทันกิเลสตัวเองไว้ เป็นการปฏิบัติที่ลัดสั้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 กันยายน 2566

Direct download: 660903.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ค่อยภาวนา ทำไปเรื่อยๆ เห็น เมื่อไรเห็นทุกข์มันก็จะวางทุกข์ ถ้าเห็นว่ากามนำความทุกข์มาให้ มันก็วางกาม เห็นกายคือตัวทุกข์ มันก็วางกาย วางกามมันก็วางกายนั่นล่ะ แล้วสุดท้ายมันก็เข้ามาที่จิต วางจิตได้มันก็ที่สุดของการปฏิบัติ มันก็อยู่ตรงนั้นล่ะ แต่วางจิตได้ก็คือเห็นจิตนั้นคือตัวทุกข์ ฉะนั้นไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรมหรอก การเห็นทุกข์เห็นโทษแล้วปล่อยวางได้ ไม่เฉพาะกามหรอก ไม่ว่าอะไรก็ตามเถอะ ถ้าเราเห็นทุกข์เห็นโทษ ของการที่เราเข้าไปยึดไปถือสิ่งนั้นแล้ว มันถึงจะวาง เพราะฉะนั้นถ้าเห็นทุกข์ พอรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่เราเห็นทุกข์แล้ว ไม่เกิดขึ้น อย่างเราเห็นว่ากายเป็นทุกข์อย่างแท้จริง ความอยากให้กายเป็นสุข ไม่เกิดขึ้น ความอยากให้กายไม่ทุกข์ ไม่เกิดขึ้น มันรู้ว่าไร้เดียงสา อยากให้กายมีความสุข มันมีไปได้อย่างไร เพราะมันคือตัวทุกข์ ดูไปเรื่อย อยากให้กายไม่ทุกข์ อันนี้ก็ไร้เดียงสา อยากให้กายสุขก็ไร้เดียงสา อยากให้กายไม่ทุกข์ก็ไร้เดียงสา เพราะจริงๆ มันคือตัวทุกข์ เห็นไหมว่า ถ้าเราเห็นตัวทุกข์ทีเดียว มันตอบโจทย์หมดแล้ว รู้ทุกข์เมื่อไร ก็ละสมุทัยเมื่อนั้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 กันยายน 2566

Direct download: 660902.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660830.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ท่านสอนให้เจริญสติปัฏฐาน การเจริญสติปัฏฐานพัฒนาเครื่องมือสำคัญขึ้นมาคือสติ แล้วใช้สตินั้นไปเจริญปัญญา จิตที่มีสติก็ประภัสสร เพราะขณะนั้นไม่มีกิเลส จิตเป็นกุศล ผ่องใส ประภัสสร พอได้จิตที่ผ่องใสประภัสสร มีสติอยู่ ก็เอาสตินั้นล่ะ เอาจิตอันนั้นล่ะไปเจริญปัญญา ไปเรียนรู้ความจริงของรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ถ้าทำมาถูกต้อง อันแรกเลยคือพัฒนาจิตขึ้นมา ให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พัฒนาจิตขึ้นมาสู่ความประภัสสร ไม่ถูกกิเลสครอบงำ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จิตเป็นกุศล แล้วใช้จิตนั้นไปเจริญปัญญา เกือบร้อยละ 100 ของผู้ปฏิบัติมันไม่มีจิตตัวนี้ ไม่มีจิตประภัสสร นั่งสมาธิก็เคร่งเครียด อันนั้นมีโทสะ นั่งแล้วก็ติดในความสุข ความสบาย นั่นเป็นโลภะ นั่งแล้วก็เคลิบเคลิ้ม ลืมเนื้อลืมตัว อันนั้นเป็นโมหะ มันเป็นจิตที่มีกิเลสจรมาครอบงำจิตเรียบร้อยแล้ว ก็เลยไม่มีจิตประภัสสร หรือครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่าจิตผู้รู้ จิตผู้รู้ก็คือจิตประภัสสรนั่นเอง เป็นจิตที่ไม่เจือปนด้วยกิเลส มีสติอยู่ เป็นกุศลจิต เราจะต้องพัฒนาจิตดวงนี้ขึ้นมาให้ได้ ถ้าเราพัฒนาจิตดวงนี้ขึ้นมาไม่ได้ เราไปเจริญปัญญาไม่ได้จริง เราเอาจิตที่ปนเปื้อนด้วยกิเลสไปเจริญปัญญา ความรู้ความเห็นนั้นจะเจือปนด้วยอคติ จะมีอคติ เพราะว่ามันมีกิเลสในการมอง ฉะนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาเลยไม่ใช่ของจริง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 สิงหาคม 2566

Direct download: 660827.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

รู้สึกตัวไปสบายๆ อย่าไปดัดแปลงจิตใจ ส่วนใหญ่เราจะคิดว่า การปฏิบัติเราจะต้องทำอะไร เราค่อยๆ ฝึก ฝึกตัวเอง ในขั้นวิปัสสนาไม่ต้องแก้ไขอะไร รู้ทุกอย่าง อย่างที่มันมี อย่างที่มันเป็น ยกเว้นตอนเริ่มต้น ถ้ามันไม่ยอมเดินปัญญา ต้องช่วยมันแก้ แก้ไขที่จิตติดนิ่ง ติดเฉย ก็พิจารณากาย พิจารณาจิตอะไรไป สมถะต้องทำ ต้องแก้ไข ส่วนมากอารมณ์กรรมฐานที่ใช้ทำสมถะ ก็จะเป็นอารมณ์ตรงข้าม เป็นปฏิปักษ์กับกิเลสหลักของเรา อย่างเราพวกโทสะเยอะ เจริญเมตตาไป ให้ใจร่มๆ ใจเย็นๆ ใจก็สงบ มีราคะพิจารณาปฏิกูลอสุภะไป ก็เห็นราคะไม่มี วัตถุกามไม่มีสาระแก่นสาร ราคะก็สงบ ใจก็ร่มเย็น ใจมันฟุ้ง เที่ยวแสวงหาอารมณ์ที่มีความสุขไปเรื่อย เรามาทำอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข จิตมีความสุขอยู่ในอารมณ์เดียว จิตก็ไม่หิวอารมณ์อื่น จิตก็สงบอยู่ นี่หลักของสมถะ มีการแก้ไขอารมณ์ของตัวเอง จิตใจของตัวเอง แต่ในขั้นวิปัสสนาจริงๆ ไม่ต้องทำอะไร รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้จิตอย่างที่จิตเป็นไป แต่ถ้าไม่รู้ อันนั้นต้องทำ ช่วยมันคิดพิจารณา แต่ถ้ามันดูได้เอง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 สิงหาคม 2566

Direct download: 660826.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราเดินตามแผนผังที่พระพุทธเจ้าวางไว้ให้เรา อย่ากระโดดข้ามขั้น ไม่ใช่ไม่มีศีล ก็โดดขึ้นไปทำสมาธิ ไม่มีศีลแล้วไปทำสมาธิได้ไหม ก็ได้ แต่มันก็จะเกเรแบบเทวทัต เทวทัตทำสมาธิได้แต่เทวทัตไม่มีศีล สุดท้ายเทวทัตก็ลงอเวจี เจริญปัญญาโดยไม่มีสมาธิ ก็เป็นไปไม่ได้ แบบเรียนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา มีขั้นมีตอน มีลำดับที่ชัดเจน ก่อนเจริญปัญญานั้นต้องมาฝึกจิตให้ตั้งมั่นก่อน ก่อน ที่จะลงมือฝึกจิตนั้น ต้องตั้งใจรักษาศีล 5 ให้ได้ก่อน ให้เด็ดเดี่ยวลงไป ถ้าเรารักษาศีลของเราไว้ได้ดี เราจะไม่ทำชั่วทางกาย ทางวาจา เราจะเหลือความชั่วทางใจ ซึ่งอันนี้ล่ะเราจะล้างมันด้วยสมาธิและปัญญา ศีลเป็นเครื่องขัดเกลากายวาจาเราให้สะอาดหมดจด ไม่ทำผิดทางกาย ทางวาจา สมาธิและปัญญาเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจให้สะอาดหมดจด แต่มันมี 2 ขั้นตอน ขั้นสมาธิคือการเตรียมจิตให้พร้อมสำหรับการเจริญปัญญา สมาธิอันแรก สงบ สบาย ทำให้สดชื่น มีเรี่ยวมีแรง วิธีคือน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง สมาธิอันที่สอง ปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยสติ ฉะนั้นเราทำกรรมฐานอันเดิมนั่นล่ะ แต่ไม่ได้ทำเพื่อมุ่งให้จิตมีความสุขความสงบอะไรอีกต่อไปแล้ว เราทำกรรมฐานแล้วก็คอยรู้ทันจิตตัวเองไว้ พยายามฝึกให้จิตมันตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูไว้ แล้วดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงาน เบื้องต้นก็เห็นกายเห็นใจมันทำงาน เบื้องปลายลึกลงไปอีกก็เห็นกายนี้ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตใจก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ก็เห็นอย่างนี้ไป เรียกว่าต่อไปพอเรารู้แจ้งแทงตลอด กายนี้คือตัวทุกข์ จิตนี้คือตัวทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับไป อันนี้เรียกว่ารู้จริงในสังขารทั้งหลาย สังขารก็คือขันธ์ 5 นั่นล่ะ คือกายคือใจเรานั่นล่ะ พอเรารู้จริงในสังขารเรียกว่าเราล้างอวิชชาได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 20 สิงหาคม 2566

Direct download: 660820.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ เรามีผลประโยชน์เป็นสรณะ คนในโลกนี้ เขาไหว้หมด ยุคโบราณเขาไหว้ภูเขา ไหว้แม่น้ำ ไหว้ต้นไม้ เดี๋ยวนี้ยังไหว้ต้นไม้อยู่ ขุดเจอตอไม้ก็เอามาไหว้กัน หรือถูหาเลข แล้วก็มโนไหว้โน้นไหว้นี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบหรอก ถ้าเราสังเกตให้ดีเราจะเห็น มันจะมีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมาให้เราไหว้เรื่อยๆ ยุคหนึ่งก็ไหว้จตุคาม มาถึงวันนี้ไหว้อสุรกาย มันไปกันใหญ่แล้ว ทำไมคนต้องเที่ยวหาที่พึ่งภายนอก เพราะว่าไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ ใจมันอ่อนแอ การพึ่งตัวเองแล้วเรียนรู้ตัวเองไป ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ที่พระอรหันตสาวกท่านสอน ลงมือปฏิบัติไป จนกระทั่งเรารู้ธรรมชาติทั้งหลาย มันเป็นไปตามเหตุ สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ ถ้าไม่มีเหตุสิ่งนั้นมันก็ไม่เกิด เราภาวนาเรื่อยๆ เราจะเห็น สิ่งทั้งหลายมีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ บังคับมันไม่ได้ อย่างเราจะมีความสุข หรือเราจะมีความทุกข์ เราจะไปร้องขอให้เทวดาช่วยเราไม่ให้ทุกข์หรือ ไปขออสุรกายช่วยให้เรามีความสุข เขาเหล่านั้นก็มีความทุกข์ ไม่ได้ต่างกับเราหรอก เทวดาเขาก็ทุกข์อย่างเทวดา ผีมันก็ทุกข์อย่างผี สัตว์นรกมันก็ทุกข์อย่างสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานมันก็ทุกข์ ทุกข์มากๆ เลย เขาจะมาเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราได้อย่างไร เขาเองยังทุกข์อยู่ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้เราไปดูถูกคนอื่น ดูถูกเทวดา พรหม หรือภูติผีปีศาจอะไร ท่านสอนให้เรามองเขาในฐานะเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมทุกข์ คือยังทุกข์อยู่ด้วยกัน เหมือนเพื่อนเรายังลำบากมาก เราก็ยังพยายามไปเรียก ให้เขาช่วยโน่นช่วยนี่อีก มันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย อย่างพวกอสุรกายมันลำบากมาก เราก็จะไปไหว้ จะเอาตัวอะไรไปบูชายัญอะไรอย่างนี้ หวังจะให้ช่วยเรา มันยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเลิก ชาวพุทธเราต้องเลิกที่จะเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งของเรา เราต้องเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง เรียนรู้ธรรมะไป เข้าใจวิธีปฏิบัติแล้วลงมือปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม แค่ไหนสมควร ก็ปฏิบัติเต็มสติเต็มกำลังของเรานั่นล่ะ เรียกว่าปฏิบัติโดยสมควร ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะนั้นจะคุ้มครองเรา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 สิงหาคม 2566

Direct download: 660819.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

จิตใจเราไม่มีอิสระ จิตใจเราเป็นทาส ไม่มีความสุขที่แท้จริง เฝ้ารู้เฝ้าดู เวลาตัณหาเกิดทีไรความทุกข์เกิดทุกที ดูลงไปอย่างนี้เลย แล้ว เราจะเห็นจิตใจนี้ไม่เคยมีความสุข เพราะจิตใจนี้ไม่ค่อยว่างจากตัณหาหรอก มีความทุกข์เกิดขึ้นตลอดเวลา เฝ้ารู้เฝ้าดู ตอนหลวงพ่อเป็นโยมภาวนา หลวงพ่อพบว่าจิตเหมือนคนติดคุก ถูกขังอยู่ในคุก แล้วมันก็เป็นคุกที่ป่าเถื่อน ตัณหาเป็นผู้คุมเราอีกที แล้วสั่งงานเราอยู่ในคุกตลอดเวลา คุกที่ขังจิตมันเคลือบครอบคลุมจิตอยู่ ตัวนี้คือตัวอาสวกิเลส มันครอบคลุมจิตใจเราไว้ ห่อหุ้มจิตใจเราไว้ แทรกซึมเข้าไปในจิตใจ แล้วก็ผลักดันให้เกิดตัณหาบงการบังคับจิตใจทั้งวันทั้งคืน พอภาวนามาเห็นตรงนี้ หลวงพ่อยอมไม่ได้แล้ว แต่เดิมคิดว่าเราอิสระ แต่ตอนนี้รู้ความจริงแล้วว่าจิตใจเราไม่ได้อิสระ จิตใจเราเกิดมาก็เป็นทาสแล้ว ยอมไม่ได้ ต้องแหกคุกนี้ให้ได้ ถ้ายังทำลายคุกอันนี้ไม่ได้ จะไม่เลิกปฏิบัติหรอก คล้ายๆ หน้าที่ของเราคือแหกคุก แหกคุกก็คืออาสวกิเลสมันห่อหุ้มจิตใจเราไว้ แล้วตัณหามันก็บงการจิตใจเรา เฝ้ารู้เฝ้าดูลงไป เรียนรู้ลงไป ในที่สุดก็ทำลายนายทาสตัวนี้ลงไป แต่มันทำลายเป็นระดับๆ ไป อยู่ๆ ไปทำลายตัณหา ทำไม่ได้ จะทำลายตัณหาได้ต้องทำลายอวิชชาได้ ความไม่รู้ ของเราตอนนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น ของเราภาวนาไป เห็นไปร่างกายไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง จิตใจไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง เพราะจิตใจเป็นของที่เราสั่งอะไรก็ไม่ได้ ดูอย่างนี้ก่อน แล้วขั้นปลายค่อยไปดูว่าร่างกายคือตัวทุกข์ จิตใจคือตัวทุกข์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 สิงหาคม 2566

Direct download: 660813.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660811.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

เราตั้งอกตั้งใจฝึกตัวเอง ถือศีล 5 ทุกวันทำในรูปแบบ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วก็คอยรู้ทันจิตตนเอง อย่าเพ่ง อย่าจ้อง แค่รู้ทันจิต จิตหนีไปคิด รู้ จิตถลำไปเพ่ง รู้ เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน เจริญสติในชีวิตประจำวันก็คือ มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส มีกายก็รู้สัมผัส มีใจก็คิดนึกได้ ไม่ใช่ห้ามคิด แต่เมื่อกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว จิตใจเรามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ให้รู้ เกิดกุศลให้รู้ เกิดอกุศลให้รู้ หรือจิตไปทำงานทางตาให้รู้ ไปทำงานทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้รู้ รู้เท่าที่รู้ได้ ไม่ต้องรู้เยอะอย่างที่หลวงพ่อบอก เอาเท่าที่เรารู้ได้ นี่ล่ะงาน 3 ตัว ถือศีล 5 ทำในรูปแบบ แล้วคอยสังเกตจิตตนเอง งานที่ 3 คือเจริญสติในชีวิตประจำวัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ แล้วมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นที่จิตให้รู้ทัน ถ้าทำ 3 ประการนี้ได้ มรรคผลนิพพานไม่อยู่ไกลเราหรอก ไม่ได้อยู่ไกลแล้ว ไม่เกินเอื้อม ขอให้ทำให้ต่อเนื่อง อดทน ฟังธรรมะพอเข้าใจ พอรู้หลักแล้ว สิ่งสำคัญมากคืออดทน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 สิงหาคม 2566

Direct download: 660812.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

บางคนนั่งสมาธิ จิตรวม นั่งทีเดียวยันสว่างเลย นั่งได้ 10 ชั่วโมง แล้วก็อยู่เฉยๆ อย่างนั้น ไม่ได้มีการเจริญปัญญาอะไร ออกจากสมาธิมา จิตมันติดใจในความสุขความสงบของสมาธิ ไม่เห็นว่ามันเป็นราคะ หรือพอติดในความสุขความสงบของสมาธิแล้ว ออกมากระทบอารมณ์นิดเดียวระเบิดเลย โทสะพุ่งกระฉูดเลย ฉะนั้นไปทำให้นิ่งๆ เฉยๆ อยู่ ไม่ล้างกิเลสหรอก ตกเป็นเครื่องมือของกิเลสอีก ฉะนั้นตัวที่จะสู้กิเลสล้างกิเลสได้จริงคือตัวปัญญา ตัวความรู้ถูกความเข้าใจถูก พระพุทธเจ้าบอกบุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ปัญญาก็คือเห็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ ถึงจะเป็นปัญญาระดับที่สู้กิเลสได้ เรียกว่าวิปัสสนาปัญญา ถึงจะสู้กิเลสได้จริง วิปัสสนะ แปลว่า การเห็น เห็นอย่างถูกต้อง วิ แปลว่าเห็นแจ้ง แปลว่าแจ่มแจ้ง ปัสสนะ แปลว่าการเห็น เห็นอย่างแจ่มแจ้ง เห็นกายเป็นไตรลักษณ์ เห็นจิตใจเป็นไตรลักษณ์ นั่นล่ะเรียกว่าเห็นแจ่มแจ้ง อันนั้นล่ะถึงจะเป็นวิปัสสนา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 สิงหาคม 2566

Direct download: 660806.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 10:05pm +07

ภาวนาอย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวลำบาก อดทนเอา แต่ว่าดูตัวเอง ถ้ากิเลสของเราเป็นพวกกิเลสเบาบาง ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติโหดๆ ถ้าพวกกิเลสหนา ราคะแรง โทสะแรง หรือโมหะแรง พวกนี้ต้องทุกขาปฏิปทา อดนอน ผ่อนอาหาร นั่งสมาธิ เดินจงกรม ให้ห้าวหาญ สู้ตาย ถ้ารอดมาก็จะได้ดี แต่บอกให้อย่างหนึ่ง ไม่เคยมีใครนั่งสมาธิแล้วตายหรอก ไม่เคยมีใครปฏิบัติแล้วตายหรอก เพราะฉะนั้นอ่อนแอไม่ได้ ดูตัวเองเลย ถ้าเป็นคนที่กิเลสรุนแรง อดทนไว้ ขยันนั่งสมาธิ ขยันเดินจงกรม นั่งสมาธิก็สังเกตกาย สังเกตใจไว้ นั่งสมาธิแล้วสังเกตไป เออ ร่างกายมันเป็นตัวเจ็บ แต่ร่างกายมันไม่บ่น ตัวที่บ่นคือจิต จิตมันไม่ยอมรับว่ากายนี้เป็นตัวทุกข์ จิตมันเลยทุรนทุราย พอรู้ทันจิต จิตมันก็เป็นกลาง พอจิตมันเป็นกลาง จิตไม่มีความทุกข์ จิตก็รวมเข้าสมาธิเลย วูบเดียว 2 ชั่วโมง ไม่แปลก บางทีเข้าทีเดียวยันสว่างก็มี คือถ้าจิตใจเราสบาย นั่งสมาธิแป๊บเดียวก็สงบแล้ว ถ้าจิตใจเรากระสับกระส่าย โอ๊ย ไม่ชอบเลย ปวดอย่างนี้ มันไปนั่งได้อย่างไร เมื่อไรจะหาย นั่งสมาธิพอขาปวด ไม่ใช่นั่งเพื่อให้ขาหายปวด แต่นั่งเพื่อให้ใจยอมรับ ใจเป็นกลาง ร่างกายมันปวด ใจไม่ได้ปวดด้วย ใจก็เป็นกลาง สบาย พอใจเป็นกลาง สมาธิมันก็เกิด สมาธิเกิดบางทีก็พักผ่อนอยู่เฉยๆ บางทีก็เดินปัญญาต่อได้เลย ก็เห็นนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป ปัญญามันเกิด บางทีก็ได้มรรคได้ผลไปเลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 สิงหาคม 2566

Direct download: 660805.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ตรงที่คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จิตมีปีติ มีความสุข มีสมาธิเกิดขึ้น แล้วถ้าเราพัฒนาต่อไป เราคอยสังเกตจิตใจเรา มีสติกำกับอยู่ที่จิตเรื่อยๆ ไป ต่อไปจิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา อย่างที่หลวงพ่อเคยทำ หลวงพ่อทำอานาปานสติแล้วรู้ทันจิต ไม่ได้ทำเพื่อสงบ เพื่อสุข เพื่อดีอะไรทั้งสิ้น ทำอานาปานสติ หายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก พอจิตมันหลงไป รู้ทันว่าจิตหลง จิตไปเพ่งลมหายใจ รู้ว่าจิตเพ่ง จิตก็เลยไม่เผลอ จิตก็เลยไม่เพ่ง จิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงอยู่ในทางสายกลาง พอจิตเราอยู่ในทางสายกลางได้ เราก็เดินปัญญา แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นร่างกายกับจิตคนละอัน เห็นเวทนากับจิต เป็นคนละอัน เห็นสัญญา สังขาร กับจิตเป็นคนละอัน เห็นจิตเกิดดับทางทวารทั้ง 6 หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป อันนั้นขั้นเจริญปัญญา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 สิงหาคม 2566 (ช่วงบ่าย)

Direct download: 660801B.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

สิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าสอนพระปัญจวัคคีย์ ในพระสูตรพูดไม่กี่ประโยคว่า มีสิ่ง 2 สิ่ง มีธรรม 2 อย่าง ที่บรรพชิตคือผู้ปฏิบัติไม่ควรเสพ คือกามสุขัลลิกานุโยค แล้วก็อัตตกิลมถานุโยค ท่านพูดสั้นๆ พอเราเข้าสู่ทางสายกลางได้แล้ว ทำอย่างไร ท่านก็ให้เรียนรู้ สิ่งที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 เวลาจะปฏิบัติ ท่านสอนสัมมาทิฏฐิ อันนี้สัมมาทิฏฐิภาคปริยัติ เสร็จแล้วเราก็ลงมือปฏิบัติ ดูแลความคิดของเรา อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด คำพูด การกระทำ คอยรู้ไปเรื่อยๆ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็จะดี การที่เรามีสติคอยสังเกตจิตใจเรา อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด นั่นก็คือการเจริญสติ เป็นสัมมาสติ แล้วสัมมาสติ เมื่อเราทำถูกต้อง ไม่ได้บังคับให้รู้ สติที่ถูกต้องเกิด ไม่ได้เจตนาระลึก ระลึกได้เอง สัมมาสติเมื่อทำให้มาก ก็จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ จิตมันจะเข้าฐาน ตั้งมั่น เด่นดวงขึ้นมา สัมมาสมาธิที่บริบูรณ์ ทำให้มากทำให้เจริญ จะทำให้สัมมาญาณะบริบูรณ์ขึ้นมา สัมมาญาณะคือการรู้ถูก เข้าใจถูก คือวิปัสสนาญาณทั้งหลายนั่นเอง เมื่อสัมมาญาณะบริบูรณ์ สัมมาวิมุติ คือมรรคผลนั้นจะเกิดเอง ไม่มีใครทำให้เกิดได้ ไม่มีใครสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลได้ จิตบรรลุมรรคผลของจิตเอง เมื่อศีล สมาธิ ปัญญานั้นบริบูรณ์ เมื่อองค์มรรคทั้ง 8 นั้นบริบูรณ์ แล้วตัดสินความรู้กันในชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น นี่คือใจความธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 สิงหาคม 2566 (ช่วงเช้า)

Direct download: 660801A.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าใครเขาถามเราว่าจะดูอะไรก่อนในการเริ่มลงมือปฏิบัติ คำตอบคือดูตัวเอง เราเป็นคนชนิดไหน แล้วก็เลือกกรรมฐานที่มันพอเหมาะพอดีกับตัวเรา หรือเวลาเราจะเดินวิปัสสนา เราจะดูอะไรก่อน เราก็ดูตัวเองก่อน เรามีจริตแบบไหน จริตของคนทำสมถะมี 6 จริต ราคจริต โทสจริต โมหจริต พุทธิจริต สัทธาจริต วิตกจริต มี 6 จริตเพื่อการทำวิปัสสนานั้นมี 2 จริต คือตัณหาจริตกับทิฏฐิจริต ตัณหาจริตคือพวกรักสุขรักสบาย รักสวยรักงาม ทิฏฐิจริตคือพวกช่างคิด ชอบวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ มีอะไรหน่อยหนึ่งก็คิดแล้วคิดอีกอยู่นั่น ค่อยๆ ดู กรรมฐานมีเยอะแยะไปหมด เลือกเอาที่เหมาะกับตัวเรา ถ้าเป็นพวกตัณหาจริต พวกรักสุขรักสบาย รักสวยรักงาม ดูกายหรือเวทนาทางกายไป ถ้าเป็นพวกเจ้าความคิดเจ้าความเห็นอะไรนี่ ก็ดูจิตตานุปัสสนา ดูจิตกับเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน 2 อันนี้เหมาะกับพวกทิฏฐิจริต ฉะนั้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มันเหมาะกับพวกตัณหาจริต พวกรักสุขรักสบาย รักสวยรักงาม จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน กับธัมมานุปัสสนา มันเหมาะกับทิฏฐิจริต พวกเจ้าความคิดเจ้าความเห็น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช 30 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660730.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

บางคนชอบสมาธินำปัญญา ก็เรียนวิธีปฏิบัติแบบสมาธินำปัญญาไป บางคนชอบเจริญปัญญาในฌาน ก็ทำสมาธิกับปัญญาควบกัน ส่วนพวกปัญญานำสมาธิ ทำสมาธิเบื้องต้นระดับขณิกสมาธิ ใช้กำลังของขณิกสมาธิ มาเรียนรู้รูปนาม หลวงพ่อดูพวกเรา คนรุ่นนี้ ให้ไปนั่งเข้าฌานมันเข้าไม่ไหว อย่าว่าแต่โยมเลย พระที่เข้าฌานได้ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่ค่อยมีหรอก ส่วนมากก็นั่งสมาธิ ก็เคลิ้มง่อกแง่กๆ ไป ไม่ก็นั่งเพ่งจนเคร่งเครียดไป คนรุ่นหลังทำสมาธิไม่ค่อยเป็น เวลาจะทำสมาธิ มันกลายเป็นมิจฉาสมาธิเสียหมดเลย มันมีหลายเส้นทาง แต่เส้นทางที่เราควรเดิน ก็คือเส้นทางที่เราเดินได้ เส้นทางที่เราเดินได้ ก็คือเส้นทางของปัญญานำสมาธิ คนรุ่นนี้เป็นพวกปัญญาชนเยอะ คนใช้ปัญญา แต่การเดินด้วยปัญญา ต้องมีขณิกสมาธิเสียก่อน สมาธิที่เป็นขณะๆ นั่นล่ะ พอมีสมาธิทีละขณะถี่ๆ ขึ้นมา จิตก็มีกำลัง รู้ตื่นเบิกบานขึ้นมา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660729.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

ถ้านิมิตใดๆ เกิด ไม่ต้องไปค้นคว้าว่าจริงหรือปลอม ให้ย้อนกลับมาที่จิตตนเอง นิมิตนั้นจะเสื่อมสลายไปหมดเลย อย่างเวลาเรานั่งสมาธิอยู่ แล้วเราเห็นเทวดามาเยอะแยะอย่างนี้ เราอย่ามัวไปดูเทวดา ย้อนมาที่จิต จิตสงสัยว่าจริงหรือปลอม พอเราเข้าถึงจิตแล้วกลับย้อนออกไปดู อันนี้เป็นศิลปะที่เราไม่แนะนำให้ฝึก แต่ว่ามันออกไปรู้ ถ้าเป็นนิมิตปลอม มันจะหายไปหมดแล้ว นิมิตปลอมจะดับหมด ในทันทีที่เราย้อนเข้ามาที่จิตตนเอง ฉะนั้นเวลานิมิตเกิด ย้อนมาที่จิตตนเองก่อน แล้วถ้าจะต้องการรู้ข้างนอก ค่อยกลับออกไปรู้ ถ้าเป็นของจริงก็ยังอยู่ ถ้าเป็นของเก๊ก็หายหมด แต่ว่าไม่มีสาระอะไร รู้ว่าเทวดาจริงๆ มา แล้วมันได้อะไร ได้มานะอัตตา กูใหญ่ กูเก่ง โหย เทวดายังมาไหว้กู มีแต่เรื่องกิเลส ฉะนั้นอย่าไปหลงนิมิต ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นให้ย้อนเข้าที่จิตตนเองไว้ จับหลักให้แม่น ปลอดภัยที่สุด กัลยาณมิตร ไม่รู้ว่าใครเป็นกัลยาณมิตร สิ่งที่จะช่วยเราได้คือโยนิโสมนสิการ การแยบคายในการสังเกตตัวเอง ฉะนั้นนิมิตเกิดขึ้นก็แยบคาย ย้อนเข้ามาที่จิตตนเอง อย่าทิ้งจิตตนเอง แล้วจะไม่พลาด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660723.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

ในปฏิจจสมุปบาทนั้นจะมีสภาวธรรม 3 ลักษณะ อันแรกเป็นส่วนของกิเลส ต่อมาเป็นส่วนของกรรม คือพฤติกรรมของจิตนั่นล่ะ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นตัววิบาก เป็นผล มีกิเลส มีกรรม มีวิบาก ในปฏิจจสมุปบาทนั้น วนเวียนอยู่ในเรื่องเหล่านี้ ลึกที่สุดอะไรเป็นกิเลส อวิชชาเป็นกิเลส อวิชชาเป็นหัวโจก เป็นหัวหน้าของกิเลส คือความไม่รู้แจ้งอริยสัจเป็นหัวโจก แล้วอวิชชาก็ทำให้ผลักดันให้เกิดการกระทำกรรม การกระทำกรรมตัวนี้เรียกว่าสังขาร “อวิชชา ปัจจยา สังขารา” อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร สังขารเป็นการกระทำกรรมของจิตแล้ว เพราะมีสังขารก็เกิดวิบาก มีการกระทำกรรมแล้วก็เกิดวิบาก อะไรบ้างที่เป็นวิบาก ตัวจิต ตัววิญญาณ ที่หยั่งลงสู่ความรับรู้อารมณ์เป็นวิบาก ตัวอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นวิบาก ตัวผัสสะ การกระทบอารมณ์เป็นวิบาก เราเลือกไม่ได้ว่าจะกระทบอารมณ์ดี หรืออารมณ์ไม่ดี ถ้าอกุศลวิบากให้ผลมา เรากระทบอารมณ์ไม่ดี กุศลวิบากให้ผลมา เราก็กระทบอารมณ์ดี ผัสสะเป็นวิบาก ถัดจากนั้นก็เกิดเวทนาขึ้นอัตโนมัติ เวทนาก็เป็นวิบาก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660722.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

ความสุขอยู่ตรงไหน จับต้องไม่ได้ ไม่ชัดเจน สิ่งหนึ่งคนนี้สุข อันเดียวกันอีกคนไม่สุข บางคนคิดว่ามีชื่อเสียงแล้วจะมีความสุข มีคนรู้จักเยอะๆ แล้วมีความสุข เหมือนเจ้าหญิงไดอานา คนรู้จักเยอะ มีชื่อเสียง มีความสุขไหม ไม่มี ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย ทำอะไรคนก็คอยจ้องถ่ายรูปอยู่เรื่อย พยายามหนีๆ แล้วไปรถชนกันตายอยู่ในอุโมงค์อะไรนั่น ดูๆ ไป เกิดมาวัตถุประสงค์เพื่อหาความสุข ความสุขเหมือนภาพลวงตา เหมือนเหยื่อที่อยู่ข้างหน้า หลอกให้เราวิ่งไปหาตลอดเวลา แล้วก็ไม่เจอ พระพุทธเจ้าท่านมีสติมีปัญญาสูง ท่านไม่ได้สอนให้เราวิ่งหาความสุข มันเหมือนภาพลวงตา หาเท่าไรก็ไม่เจอเสียที ท่านบอกว่าเป้าหมายสูงสุดในชีวิตเรา ต้องพ้นจากความทุกข์ให้ได้ คือท่านมีสติมีปัญญาสูง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660716.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

การปฏิบัติธรรมต้องช่วยตัวเอง ครูบาอาจารย์ช่วยได้แค่บอกทางให้ พวกเราต้องเดินด้วยตัวเองให้ได้ อย่าทำตัวเป็นเด็กทารกแรกเกิดตลอดไป ไม่ได้ แรกๆ ก็อาจจะเหมือนเด็กทารก พ่อแม่ต้องประคบประหงมหน่อย พอโตได้ ต้องโตด้วยตัวเองให้ได้ การปฏิบัติก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ช่วยเรา ตอนเรายังไม่รู้วิธีปฏิบัติ คล้ายๆ พ่อแม่สอนให้รู้จักยืน ให้รู้จักเดิน ส่วนจะยืนไหม จะเดินไหม จะวิ่งได้ไหม อยู่ที่ตัวเราเอง จะยืนหยัดอยู่ได้ไหม พวกเราต้องไปทำเอาเอง ต่อไปหลวงพ่อคงจะไม่จ้ำจี้จำไชพวกเรามากเกินไปแล้ว ที่ผ่านมาหลวงพ่ออยากให้พวกเราภาวนาเก่ง ภาวนาดี ไม่เถลไถล หลวงพ่อเข้าไปควบคุมเยอะ เมื่อคืนวันพฤหัสนั่งสมาธิอยู่ ก็ได้ยินเสียงครูบาอาจารย์ ท่านบอกให้หลวงพ่ออุเบกขาได้แล้ว กรรมใคร กรรมมัน ถ้าหลวงพ่อไปจู้จี้กับพวกเรา อยากให้พวกเราดี อยากให้ได้ธรรมะอะไรอย่างนี้ จู้จี้มากไป บางคนเข้าใจก็ดี บางคนไม่เข้าใจ โกรธ บาปกรรมเปล่าๆ ท่านว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ดูแลตัวเองให้ดีหน่อย คนไหนใจเปิดรับธรรมะ ก็ไม่ยากอะไรหรอก ถ้าใจไม่รับก็ปล่อยแล้วนะ ปล่อยแล้ว แบกพวกเราไม่ไหวแล้ว ชรามากแล้ว ถ้าเป็นฆราวาสนี้เกษียณไปนานแล้ว ช่วยตัวเองให้ได้ เดินด้วยตัวเองให้ได้ อย่าเป็นเด็กอ่อนตลอดกาล ยังเดินไม่ได้ ยังยืนไม่ได้ คลาน คลานไป แล้ววันหนึ่งต้องยืนขึ้นให้ได้ ยืนแล้วต้องเดินให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ครูบาอาจารย์คอยประคับประคองอีกต่อไป ต้องช่วยตัวเองให้ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660715.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

ที่ผ่านมา หลวงพ่อก็มองพวกเรา ด้วยความเมตตาสงสาร ไม่อยากให้ทุกข์นาน พยายามจ้ำจี้จ้ำไชพวกเรา บางคนก็รู้สึก หลวงพ่อจู้จี้เหลือเกิน บีบคั้นบังคับมากเหลือเกิน จะให้ทำอย่างโน้น จะไม่ให้ทำอย่างนี้ เบื่อ เบื่อหน่าย อยากจะตามใจกิเลส ที่หลวงพ่อพยายามสอนพวกเรา ไม่ใช่เพื่อตัวหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อสงสาร เห็นอกเห็นใจ เราก็เคยทุกข์ เคยลำบากมาก่อนในการปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าสบาย อดทนมากเลยในการฝึกตัวเอง ทีนี้เคี่ยวเข็ญพวกเราเยอะๆ บางคนก็เบื่อ บางคนก็รำคาญ ไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ เมื่อคืนหลวงพ่อก็ภาวนา ก็นอน ได้ยินเสียงครูบาอาจารย์ ท่านมาบอกให้อุเบกขา เราหามทุกคนไปนิพพานไม่ได้หรอก สอนให้แล้วก็แล้วกัน ทำก็เจริญ ไม่ทำก็ไม่เจริญ ท่านสั่งหลวงพ่อบอกว่า ให้อุเบกขาได้แล้ว เราไปแบกทุกคนไปนิพพาน ทำไม่ได้หรอก ทีนี้ครูบาอาจารย์สั่งแล้ว หลวงพ่อก็ทำ ต่อไปนี้จะไม่จ้ำจี้จ้ำไชอีกต่อไปแล้ว ถ้าสอนก็สอนรวมๆ อย่างนี้ จะไม่ไปไล่กวดขันทีละคนแล้ว เอาตัวเองให้รอดก็แล้วกัน จะฟังพระธรรม หรือจะฟังกิเลส ตัดสินเอาเอง เลือกทางเอาเอง ไม่มีใครทำกรรมฐานแทนใครได้หรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660714.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

เราอยู่กับร่างกาย อยู่กับจิตใจของเรามาแต่ไหนแต่ไร แต่คนในโลกไม่ได้เรียนรู้ร่างกายจิตใจของตัวเอง ลืมไปหมดแล้ว มัวสนใจแต่สิ่งอื่น ของข้างนอก สนใจรูปมากกว่าสนใจลูกตาตัวเอง สนใจเสียงมากกว่าสนใจหู สนใจกลิ่นมากกว่าสนใจจมูก สนใจรสชาติมากกว่าสนใจลิ้น สนใจสิ่งที่มาสัมผัสร่างกายมากกว่าจะสนใจร่างกาย สนใจเรื่องราวที่คิด นึก ปรุง แต่ง ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายมากกว่าจะสนใจจิตใจตัวเอง มีคนจำนวนมากบอกปฏิบัติมาหลายสิบปีเลย มันก็ได้แค่นั้น พอมาฟังหลวงพ่อพูด เรื่องเจริญสติเรื่องอะไร จิตใจก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว ธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าทำถูกจะไม่เนิ่นช้า เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ไม่เนิ่นช้า ถ้าเนิ่นช้า แสดงว่าต้องมีอะไรพลาดแล้ว อันแรกเลย ปฏิบัติไม่ถูก อันที่สอง ปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง ทำแล้วก็หยุดๆ พวกตุ่มรั่ว ที่หลวงพ่อเรียก พวกตุ่มรั่ว พอเขารู้จักการเจริญสติ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกินอาหาร จะขับถ่าย จะทำอะไร ก็รู้สึกกาย รู้สึกใจไปเรื่อยๆ สติก็ไวขึ้นๆ พอสติมันเกิด สมาธิที่แท้จริงมันก็เกิด เพราะสัมมาสติที่ทำให้มาก เจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ ฉะนั้นเราจะต้องพัฒนาสัมมาสติให้ได้ ด้วยการทำสติปัฏฐานนั่นล่ะ มิฉะนั้นเราจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ คนอื่นเขาก็เดินจงกรม เขานั่งสมาธิ แต่เขาเดินเพื่อความสุข เพื่อความสงบ เพื่อความดี เราจะเดินจงกรม จะนั่งสมาธิ เพื่อพัฒนาสติและสัมมาสมาธิ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660709.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

จิตนี้มันหยิบขันธ์เอาไว้ รู้สึกว่าดี สวยงาม ดีงาม แต่สติปัญญาแก่กล้าแล้ว ขันธ์นี้คือตัวทุกข์ คราวนี้จ้างให้ก็ไม่หยิบแล้ว ไม่ต้องพยายามที่จะไม่หยิบ มันไม่หยิบเอง เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว ชาติก็คือการที่จิตหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่น สิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือการประพฤติปฏิบัติธรรมจบแล้ว เรียนหนังสือจบแล้ว จบลงที่ไหน จบลงที่จิตมันหลุดพ้นแล้ว มันพ้นแล้ว มันไม่มีงานที่จะต้องทำต่อ เพื่อจะให้จิตหลุดพ้น ไม่ต้องทำแล้ว หลุดแล้วหลุดเลย ฉะนั้นชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้นไม่มีอีกแล้ว มันรู้สึกอย่างนั้น นั่นล่ะที่สุดของทุกข์ ที่สุดของทุกข์มันอยู่ตรงธรรมนั้นเอง สิ่งที่เรียกว่าธรรมะตัวนี้ เป็นธรรมะเหนือโลก เหนือขันธ์ เหนือวัฏสงสาร ไม่อย่างนั้นยังไม่มีจุดสิ้นสุด ก็ยังเวียนว่ายไปเรื่อยๆ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด แค่เข้าใกล้ แล้วปุถุชนอย่างพวกเรา มันจะเห็นไหม ไม่เห็นหรอก ต้องฝึกตัวเองให้มาก อย่าวุ่นวายเถลไถล ที่น่าห่วงเลยก็คือพวกเราชอบเถลไถล ตั้งใจภาวนาเอาจริงเอาจัง ยังไม่ค่อยจะรอดเลย แล้วเถลไถล แล้วมันจะรอดหรือ มันไปไม่รอดหรอก นี่ล่ะกฎแห่งกรรม ใครทำคนนั้นก็ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้ หรือทำในทางที่ไม่ดีมันก็ไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660708.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พยายามยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นๆ ไป อดทน ไม่อดทนทำไม่ได้หรอก เส้นทางนี้ มันน่าเบื่อ ให้มันเด็ดเดี่ยวๆ อดทน ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นไร ล้มแล้วลุกขึ้นมา เดินต่อ ลงไปคลุกฝุ่น ลุกไม่ไหว เราคลานไป อย่าอยู่กับที่ แล้ววันหนึ่งเราก็จะพ้นจากความทุกข์อันมหาศาล ค่อยทุกข์น้อยลงๆ ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรียบ เหมือนคนหลงป่าแล้วป่านี้มืดทึบเลย ไม่เห็นเดือน ไม่เห็นตะวัน มืด พื้นก็มีแต่ทาก ต้นไม้ก็มีแต่หนาม เดินทางไหนก็หนามทิ่มหนามตำอะไรอย่างนี้ ท่านก็บอก วัฏสงสารก็อย่างนั้นล่ะ มันทุกข์ทั้งนั้น หันซ้ายก็ทุกข์ หันขวาก็ทุกข์ แต่ต้องอดทนค่อยๆ คลำทางออกไป ค่อยๆ ถางทางออกไป จากป่ารกทึบ มีแต่เสี้ยนหนาม มันก็จะเข้าสู่ป่าโปร่งมากขึ้น หนามมันก็อยู่ห่างๆ คราวนี้รู้จักหลบ รู้จักหลีก มีทางให้หลบแล้ว ตอนอยู่ในป่าทึบ หันซ้ายหันขวา โดนหมด แล้วต่อมาก็ออกมาที่ชายทุ่งได้ ออกมาที่บ้านที่เมืองได้ ท่านเปรียบเทียบอย่างนี้ อดทน ฉะนั้นอดทน จำเป็น ต้องอดทนอดกลั้น อย่าตามใจกิเลสตัวเอง ถ้าตามใจกิเลสตัวเอง มันมีแต่ต่ำลงๆ แล้วบางคนตามใจกิเลสตัวเอง แต่ว่ามันฉลาด แก้ตัวให้กิเลส หาเหตุผลว่าอันนี้ดีๆ อันนี้ต้องทำๆ เถลไถลไปเรื่อยๆ อันนั้นแก้ตัวให้กิเลส ลืมไปว่าชีวิตของคนไม่ได้ยั่งยืนอะไร คนที่อายุถึงร้อยปีมีสักกี่คน แล้วอายุมากๆ ร่างกายเสื่อม สมองเสื่อม ภาวนาลำบาก ตอนที่ยังแข็งแรง รีบภาวนา เหมือนตอนที่แข็งแรงอยู่ รีบหาทางออกจากป่าให้ได้ ป่านี้ก็คือวัฏสงสารนั่นเอง มีเสี้ยนหนามอยู่รอบตัว ก็คือมีความทุกข์ตลอด หันซ้ายก็ทุกข์ หันขวาก็ทุกข์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660702.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ที่สุดของทุกข์ก็อยู่ตรงที่สุดของขันธ์ ค่อยๆ ฝึก ก่อนจะถึงจุดนี้ ขั้นแรกก็ต้องเรียนรู้ทุกข์ให้ดี เราไม่ต้องพยายามดิ้นรนที่จะประจักษ์พระนิพพาน แจ่มแจ้งพระนิพพาน ไม่ต้อง ให้รู้ทุกข์ให้ดี เครื่องมือที่เราจะต้องพัฒนาตัวเองก็เรียกว่ามรรค ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา เรามีศีล ใจเราจะได้ไม่วอกแวก เรามีสมาธิเพื่อให้ใจเรามีกำลัง ตั้งมั่น เด่นดวงอยู่ สามารถเอาไปเจริญปัญญา คือเรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจได้ เมื่อเรียนรู้ความจริงของรูปนาม เห็นรูปนามอย่างที่มันเป็นแล้ว ไม่ใช่อย่างที่เราคิดจะเป็น คนทั่วไปปฏิบัติธรรมก็อยากมีความสุข อยากไม่ทุกข์ อันนั้นเรียกว่ายังไม่ยอมรับความจริง ถ้ายอมรับความจริงก็คือเห็นความจริง รูปนามคือตัวทุกข์ จะไปอยากให้มันไม่ทุกข์ ไม่ได้ มันคือตัวทุกข์ ท่านบอกว่า “เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย” เบื่อหน่ายอะไร เบื่อหน่ายในธาตุในขันธ์นั่นล่ะ “เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว” หลุดพ้นจากอะไร หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในรูปนามนั่นล่ะ พอหลุดพ้นจากรูปจากนามได้ ก็เรียกว่าพ้นทุกข์ หลุดออกจากรูปนามได้ เพราะรู้แจ้งเห็นจริง ว่ารูปนามนี้คือตัวทุกข์ มันจะวาง ฉะนั้นหน้าที่เรารู้ทุกข์ รู้ทุกข์ไปเรื่อยๆ เครื่องมือสำคัญในการรู้ทุกข์ ก็คือสติกับปัญญา สติเป็นตัวรู้สภาวะที่กำลังมีกำลังเป็น ปัญญาจะรู้ลักษณะของสภาวะที่มีที่เป็นอยู่ สภาวะก็คือรูปธรรมนามธรรม สติเป็นตัวรู้ทัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660701.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

1 « Previous 1 2 3 4 5 6 7 Next » 68