จุดสำคัญก็คือ เราจะต้องฝึกจิตให้ตั้งมั่นขึ้นมาให้ได้ ถ้าจิตเราตั้งมั่นแล้ว สติระลึกรู้ร่างกาย ก็จะเห็นว่าร่างกายถูกรู้ถูกดูไม่ใช่ตัวเรา ถ้าจิตเราตั้งมั่นแล้วสติระลึกรู้เวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ ก็จะเห็นว่าความสุขความทุกข์ไม่ใช่ตัวเราของเรา ถ้าจิตเราตั้งมั่นอยู่ สติระลึกรู้กุศลอกุศล อย่างโลภโกรธหลง มันก็จะเห็น กุศลอกุศลโลภโกรธหลงอะไรไม่ใช่ตัวเรา นี่เราฝึกมากเข้ามากเข้า เราก็จะเห็นว่าบางครั้งจิตก็เป็นผู้รู้ บางครั้งจิตก็เป็นผู้หลง จิตที่เป็นผู้รู้มันก็ถูกรู้ จิตที่เป็นผู้หลงมันก็ถูกรู้ สุดท้ายกระทั่งจิตก็ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670729.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เวลาที่เราภาวนา เราเจริญปัญญา เจริญปัญญารวดไปเลยไม่ได้ เจริญปัญญาพอประมาณ พอจิตใจจะหมดกำลัง หยุด ไม่ต้องเจริญปัญญา น้อมจิตเข้าหาอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง ทำความสงบเข้ามา ถ้าไม่ทำความสงบเลย มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส เดินปัญญาแล้ว มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส 10 ข้อ ไม่ต้องไปสู้กับมัน ถ้ามันเกิดวิปัสสนูปกิเลส ทำความสงบเข้ามา ถ้าจิตถึงฐานตั้งมั่นขึ้นมาเมื่อไร วิปัสสนูปกิเลส 10 ตัวหายหมดเลย มันแพ้สมาธิที่ถูกต้อง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 สิงหาคม 2567

Direct download: 670803.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราจะต้องมาหัดเจริญสติปัฏฐานให้ได้ เพื่อวันหนึ่งเราจะได้เข้าถึงฝั่งของพระนิพพาน เราจะเข้าถึงความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่เป็นโลกุตตระ เป็นความสุขที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง มีอยู่นะความสุขที่พ้นความปรุงแต่ง ไม่ใช่มีแต่ความสุขที่ต้องอาศัยความปรุงแต่งอย่างที่พวกเราแสวงหากัน ต้องมีเงินเยอะๆ ต้องมีชื่อเสียง ต้องมีเมียสวย ต้องมีลูกฉลาด มีเงื่อนไขเยอะแยะเลย หรือต้องเข้าฌานถึงจะมีความสุข วันไหนฌานเสื่อมไม่มีความสุข อันนี้ความสุขอย่างนี้ยังเหลวไหลอยู่ เอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยจริงไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 28 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670728.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ลีลาอาการของการปฏิบัติมีหลากหลาย จับหลักให้แม่นเท่านั้นล่ะแล้วก็จะเดินได้ ถ้าจะทำสมถะ น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะทำวิปัสสนา มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง เกิดจากมีสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น และไม่เป็นกลาง ถ้าเรารู้จิตที่ไม่ตั้งมั่น คือจิตที่ไหล ทันทีที่เรารู้ว่าจิตไหลไป จิตที่ไหลจะดับ จิตตั้งมั่นจะเกิด ไหลไปคิด รู้ทันว่าจิตไหลไปคิดปุ๊บ จิตไหลไปคิดดับ จิตตั้งมั่นจะเกิด จิตผู้รู้จะเกิดขึ้น เราจะต้องมีจิตตัวนี้ เราถึงจะเดินวิปัสสนาได้จริง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670727.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

สติรู้สึกในกาย เห็นกายอย่างที่กายเป็น มีสติอ่านจิตใจตัวเองไป จะเห็นจิตใจอย่างที่มันเป็น จิตใจมันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เพราะมีการกระทบอารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราเลือกอารมณ์ไม่ได้ แล้วเราก็เลือกความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แต่สิ่งที่เหมือนกันทั้งหมดก็คือ อารมณ์ทุกชนิดเกิดแล้วดับ ไม่มีอะไรยั่งยืนตลอดกาล อย่างเราอยากได้ความสุขนิรันดร มันไม่มีในโลก แต่เราภาวนาจนเมื่อไรใจของเราสิ้นความอยาก เมื่อใจเราสิ้นความอยาก คือใจมันเข้าใจความจริงของร่างกาย เข้าใจความจริงของจิตใจแล้ว มันจะสิ้นความอยาก มันจะหมดความอยากว่า อยากไม่แก่อยากไม่เจ็บอยากไม่ตาย หมดความอยากว่า จะต้องไม่เจอสิ่งที่ชั่วร้ายสิ่งที่ไม่ชอบ จะต้องเจอแต่สิ่งที่ชอบ ถ้าใจไม่มีความอยากใจก็จะไม่ดิ้นรน เมื่อใจไม่ดิ้นรนใจจะเข้าถึงความสงบสุขที่แท้จริง คือความสงบของพระนิพพาน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670722.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราไม่จําเป็นต้องรู้ทุกอย่างหรอก กรรมฐานสําหรับคนๆ หนึ่งไม่มากมายอะไร ทําให้ได้สักอย่างหนึ่ง แล้วถ้าจิตมันสนใจใคร่รู้ มันก็จะรู้อันอื่นเนื่องกันไปหมด เชื่อมโยงกันไปหมด ในสติปัฏฐาน 4 ถ้าเราแจ้งอันใดอันหนึ่ง เราก็จะแจ้งเกี่ยวเนื่องกันไปหมด เหมือนโต๊ะตัวนี้มี 4 มุม เราจับมุมเดียวลากขึ้นมา โต๊ะมันก็ขึ้นมาได้ทั้งหมด หรือกระทั่งสมถะอย่างกสิณ 10 เราเล่นกสิณ สมมติเล่นกสิณไฟได้อันหนึ่ง ไปเล่นกสิณอื่นก็เล่นไม่ยากแล้ว เพราะฉะนั้นกรรมฐานเราไม่ต้องเรียนทีเดียวเยอะๆ ถนัดอันไหนเอาอันนั้นล่ะ เอาที่เราถนัดเอาอันเดียวก็พอแล้ว ถนัดอานาปานสติก็ใช้อานาปานสติ ถนัดกายคตาสติก็ใช้ หรือถ้าคิดถึงทำทานบ่อย ทำแล้วมีความสุข รักษาศีลแล้วมีความสุข ก็คิดถึงไป จิตมีสมาธิพอจิตมีสมาธิก็ค่อยมาน้อมจิตออกไปดูไตรลักษณ์ ไปดูรูปธรรมนามธรรมแสดงไตรลักษณ์ อันนี้จะแยกกันระหว่างการทําสมถะทําเสร็จ แล้วก็มาเจริญวิปัสสนา การปฏิบัติมันสารพัดที่จะพลิกแพลง ลีลาอาการการปฏิบัติของคนแต่ละคนแตกต่างกัน ทางใครทางมัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 21 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670721.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

รรมะที่ท่านแสดงเป็นกัณฑ์แรก เรียกว่าปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ธัมมจักฯเป็นบทธรรมะที่น่าเรียนมากเลย พวกเราส่วนใหญ่ที่ชอบปฏิบัติ อยู่ๆ ก็ไปนั่งสมาธิ ไปเดินจงกรมอะไรกัน วุ่นวายไปหมด คิดว่าทำแล้วจะดี นี่เพราะไม่ได้เรียนธัมมจักฯให้ดีเสียก่อน ธัมมจักฯไม่ได้เริ่มต้นว่าให้ทำอย่างไรแล้วจะดี แต่ท่านเริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่ถูก 2 อย่าง คือการที่เราปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส สนองกิเลสไปเรื่อยๆ อันนี้ท่านบอกว่ามันย่อหย่อนไป ในธัมมจักฯเริ่มต้นก็บอกเลยว่า มีสิ่ง 2 สิ่งที่ผู้ปฏิบัติไม่ควรเอา อันที่หนึ่งก็คือการปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส เพลิดเพลินไป อันที่สองก็คือการทำตัวเองให้ลำบาก บังคับกาย บังคับใจ มันลำบาก แล้วเส้นทางที่เป็นทางสายกลาง ไม่สุดโต่ง 2 ฝั่ง คือเส้นทางเดินของอริยมรรคมีองค์ 8 ท่านสอนอย่างนี้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 กรกฎาคม 2567 (ช่วงเย็น)

Direct download: 670720B.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พยายามฝึกตัวเอง แล้วอ่านใจตัวเองให้ออก ถ้าเราอ่านใจตัวเองไม่ออก บางทีเราทำชั่วอยู่ เรานึกว่ากำลังทำดีอยู่ อย่างเราเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ เราคิดว่านี่เราทำดีอยู่ แต่เรากำลังโลภอยู่ หรือเราทำบุญใส่บาตร แล้วเราก็มีความต้องการแฝงเร้น อยากโน้นอยากนี้ อันนี้ก็เจือโลภลงไปแล้ว เราไปปล่อยนกปล่อยปลา เราก็อยากอายุยืน ไม่เจ็บไม่ไข้ นี่เจือกิเลสลงไปแล้ว เพราะฉะนั้นอ่านใจตัวเองให้ชำนิชำนาญ ถ้าอ่านใจตัวเองได้ บุญที่เราทำก็จะสะอาดหมดจด ศีลที่เรารักษาก็จะสะอาดหมดจด สมาธิที่เราทำจะเกิดได้ง่าย จะเกิดง่าย ถ้าเรารู้ทันใจตัวเอง ไม่ได้ทำด้วยความโลภ แต่น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง แป๊บเดียวก็สงบแล้ว หรือเราจะฝึกให้จิตตั้งมั่น เดิมเราพยายามจะประคองให้มันตั้งมั่น ต่อมาเรารู้ว่านี่ก็ไม่ใช่ นี่ก็โลภแล้ว อยากดี เราก็แค่ทำกรรมฐานของเราไป แล้วเรารู้ทันจิตที่มันไหลไป หลงไป พอเรารู้ว่ามันไหลไปหลงไป มันก็ตั้งมั่นขึ้นมาเอง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670720A.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ก็ได้สัมมาทิฏฐิในเบื้องต้นแล้ว รู้วิธีที่จะปฏิบัติแล้ว ก็ไปหัดสังเกตจิตใจตัวเอง ที่เราคิดอยู่นี่เพราะกุศลหรืออกุศล เล่นมันอยู่จุดเดียวนี่ล่ะ องค์มรรคที่เหลือมาเอง ตามมาเป็นแถวเลย พอทําได้ไหมแบบนี้ ไม่ได้ยากหรอก หลวงปู่ดูลย์บอก การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติต่างหาก เพราะฉะนั้นเราสังเกตจิตใจตัวเอง ตอนที่หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนหลวงพ่อ ท่านใช้คําว่าให้อ่านจิตตนเองๆ เราก็คอยอ่านไป จิตตัวนี้เป็นกุศล ตัวนี้เป็นอกุศล มันคิดอย่างนี้เกิดอกุศล มันคิดอย่างนี้เป็นกุศลอะไรอย่างนี้ รู้ทัน กุศลอกุศลมันตามหลังความคิดมาอีกทีหนึ่ง ฉะนั้นถ้าเรารู้ทันตัววิตกตัวความคิด อกุศลมันจะดับ กุศลมันจะเจริญขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นให้มีสติดูแลจิตของตัวเองบ่อยๆ การปฏิบัตินี้จะลัดสั้นที่สุดเลย ที่พูดมาทั้งหมดนี้พอจะจับใจความได้ไหมว่า ที่จริงแล้วการดูจิตคือ การเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ครบบริบูรณ์เลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670714.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

ปัญญาแก่กล้าพอ มันจะก้าวข้ามจากจุดที่สังขารุเปกขาญาณ เกิดอริยมรรคอริยผลขึ้น เส้นทางนี้มีจริง คำสอนของพระพุทธเจ้ามีจริง ฉะนั้นพระพุทธเจ้ามีจริง อยู่ที่พวกเราเอาจริงไหม เส้นทางนี้เป็นเส้นทางของคนจริง ไม่ใช่เส้นทางของคนอ่อนแอ ท้อแท้ เรียกร้องให้คนอื่นช่วย สังคมเราทุกวันนี้ เห็นไหม มันไม่ใช่สังคมชาวพุทธ เป็นสังคมนับถือผี นับถือเทวดา หวังว่าสิ่งอื่นจะมาช่วยเรา ละเลยเรื่องกรรม เรื่องผลของกรรม ไม่ใช่ชาวพุทธหรอก ฉะนั้นศาสนาพุทธเรานี้ร่อแร่เต็มทีแล้ว ท่านมาบวชขออนุโมทนา บวชแล้วอย่าให้เปลืองผ้าเหลือง ตั้งอกตั้งใจเรียน อย่างน้อยได้ปริยัติไปก็ยังดี แล้วมีโอกาสก็หาวิธีปฏิบัติเข้า วิธีปฏิบัติไม่ว่าจะเข้าสำนักไหน ผมรับรองเลย หนีไม่พ้นสิ่งที่ผมบอกนี่ล่ะ ที่แตกต่างก็แค่เปลือกหรือรูปแบบเท่านั้นเอง บางคนดูอันนี้ บางคนดูอันนี้ แต่ละที่ แต่แก่นของมันคือจิตเราต้องถูก จิตเราต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู สติระลึกรู้อะไรก็จะเห็นไตรลักษณ์ได้ หลักมีอันเดียว แต่อุบายวิธีแต่ละสำนักแตกต่างกันมากมาย แล้วมานั่งเถียงกันว่าอันไหนดีกว่าอันไหน ไม่มีอันไหนดีกว่าอันไหนหรอก ถ้าถูกหลักก็ดีหมด ถ้าทำผิด ให้วิเศษแค่ไหนก็ผิดหมด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ 13 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670713.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

งานหลักของเราจริงๆ คือเรียนรู้กายรู้ใจของเรา หน้าที่ของชาวพุทธเราคือเราเป็นนักศึกษาๆ ศึกษาอะไร ศึกษาตัวเอง เรียนรู้กายเรียนรู้ใจของตัวเองไป พอมันรู้ถ่องแท้ กายนี้ใจนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีอะไร ไม่มีตัวมีตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา อันนี้จิตเขาเรียกว่ามันตกกระแสธรรมแล้ว จิตตกกระแสธรรม มันก็จะเที่ยงต่อการที่จะพ้นทุกข์ไป วันหนึ่งจะต้องได้เป็นพระอรหันต์แน่ ทำหน้าที่ศึกษาตัวเองให้ถ่องแท้ไป สํารวจใจเรา เรามั่นคงกับพระรัตนตรัยแค่ไหน หรือเราเห็นพระรัตนตรัยเป็นบ่อเงินบ่อทอง เป็นที่แสวงหาผลประโยชน์ คนจํานวนมากเอาศาสนาไปแสวงหาผลประโยชน์ เรามีศีลดีงามไหม สํารวจตัวเอง ถ้าศีลเรายังด่างพร้อยอยู่ เราก็ยังไม่ใช่ชาวพุทธที่ดี ไม่ใช่ลูกที่ดีของพระพุทธเจ้า เราไม่เคารพพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราถือศีลแล้วเราไม่ถือ อีกข้อหนึ่งก็คือเราเชื่อกฎแห่งกรรมไหม หรือเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง หรือบางวันไม่เชื่อเลยอะไรอย่างนี้ สํารวจตัวเอง คนที่เชื่อกฎแห่งกรรมก็จะเชื่อว่า เราจะต้องพ้นทุกข์ไปด้วยความเพียรของเราเอง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670707.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การปฏิบัติ จิตจะต้องมีเครื่องอยู่ ถ้าจิตไม่มีเครื่องอยู่ จิตก็ร่อนเร่ไป ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติในขั้นไหน ก็ต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ อย่าว่าแต่พวกเราเลย กระทั่งพระอรหันต์ ท่านก็ยังมีการเจริญสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่ ใช้กาย เวทนา จิต ธรรม ให้ใจมีบ้านอยู่ แต่พวกเราต่างกับพระอรหันต์ ตรงที่ เรายังยึดถือกายใจขันธ์ 5 อยู่ เราเจริญสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่ เพื่อให้เกิดปัญญารู้ถูกเข้าใจถูก แล้วปล่อยวาง ในขณะที่พระอรหันต์ท่านมีกาย เวทนา จิต ธรรมเป็นเครื่องอยู่ แล้วจิตท่านพรากออกไป แยกออกไปจากขันธ์ ไม่เกาะเกี่ยว มองเห็นขันธ์เป็นความว่าง ในขณะที่พวกเรามองเห็นขันธ์เป็นตัวเรา ปุถุชน เพราะฉะนั้นจะทิ้งการมีเครื่องอยู่ของจิตไม่ได้ สังเกตตัวเอง อยู่กับเครื่องอยู่ชนิดไหนแล้วสติเกิดบ่อย เอาอันนั้นล่ะดี หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670706.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ธรรมะมันไม่ใช่ว่าเราต้องเรียนทุกวัน แต่เราต้องปฏิบัติทุกวัน เรียนมากฟังมากจำเอาไว้ก็ไปคิดเอา จะคล้ายๆ คนที่เรียนปริยัติมากๆ เวลาภาวนา บางทีความคิดมันก็มาปน รู้หมด พวกเราหลายคน ช่างคิดช่างสงสัย แล้วก็เที่ยวหาคำตอบ เจอครูบาอาจารย์ก็ถามอยู่นั่นล่ะ จะเค้นเอาธรรมะให้ได้ ธรรมะมันไม่ได้มาด้วยการคิดเอาเองหรือด้วยการถามเอา มันได้มาด้วยการสังเกตตัวเอง เรียนรู้ตัวเอง คิดมากก็สงสัยมาก สงสัยมากก็ถามมาก ถามมากก็เอาไปคิดมากอีกแล้ว ก็วนกลับมาสงสัยมากอีก เราต้องกล้าหาญตัดวงจรอันนี้ให้ขาด แทนที่จะต้องคิดมาก ให้รู้สึกเอา ร่างกายเราเคลื่อนไหวก็แค่รู้ ร่างกายยืนเดินนั่งนอนก็รู้ ร่างกายหายใจออกร่างกายหายใจเข้าก็รู้เอา มันไม่ได้รู้ยากมันรู้ได้ทุกคนอยู่แล้ว ธรรมะ ถามคนอื่นก็ไม่ได้เรื่องหรอก มัวแต่อ่านมัวแต่ฟังมัวแต่ถาม ไม่ได้ดูของจริงก็คือไม่ได้ลงมือปฏิบัติหรอก ต้องลงมือดูของจริง แล้วการดูของจริงดูกายดูใจก็ไม่ใช่เรื่องยาก ใครๆ ก็รู้ได้ มันแค่ละเลยที่จะรู้เท่านั้น มัวแต่สนใจของข้างนอก มันละเลยไม่ค่อยรู้กายรู้ใจของตัวเอง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 กรกฎาคม 2567

Direct download: 670705.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การภาวนาจับหลักให้ดี งานหลักของเราคือการรู้ทุกข์ สติรู้กายรู้ใจ คือรู้ก้อนทุกข์นี้ไป รู้ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู เป็นคนเห็น เห็นกายมันทํางาน เห็นจิตมันทํางานไป มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้เห็นไป แล้วเกิดยินดีเกิดยินร้าย ไปเห็นอย่างนี้แล้วยินดี ให้รู้ทัน เห็นอันนี้แล้วยินร้าย ให้รู้ทัน ละความยินดียินร้ายเสีย ละด้วยการรู้ทันนี่ล่ะ ดับ จิตก็จะเป็นกลาง มีความตั้งมั่น มีความเป็นกลาง สติระลึกรู้กายด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ก็จะเห็นว่ากายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันเป็นตัวทุกข์ ไม่ใช่ตัวอื่นเลย หรือเห็นจิตใจก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็ดูไปเรื่อยๆ แล้วมันไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา จิตใจไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วมันเป็นตัวอะไร มันเป็นตัวทุกข์ ภาวนาให้รู้ทุกข์ให้แจ่มแจ้ง ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้วตัณหาจะถูกละไปอัตโนมัติ ถ้าตัณหาถูกละไป จิตก็ไม่สร้างภพ สร้างชาติ สร้างทุกข์ขึ้นมา แล้วถ้าละได้เด็ดขาด ละอวิชชาได้เด็ดขาดจิตก็จะไม่ปรุงต่อ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านละอวิชชาเด็ดขาดแล้ว ถ้าเราภาวนาลงมา เข้ามาให้ถึงจิตถึงใจตัวเอง ให้จิตมันอยู่กับเนื้อกับตัว พอสติระลึกรู้กายก็จะเห็นแต่ไตรลักษณ์ สติระลึกรู้จิตก็เห็นไตรลักษณ์ เห็นอย่างนี้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งมันรู้แจ้งเห็นจริง กายนี้ใจนี้หรือขันธ์ 5 นี้มันคือตัวทุกข์จริงๆ ความปรุงแต่งของจิตก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าความปรุงแต่งของจิตไม่เกิดขึ้นแล้ว การที่จะไปถืออุบัติในภพใดชาติใดไม่มีๆ อย่างถ้าเราภาวนา เราจบกิจแล้ว เราดูลงมาในจิตในใจ หรือดูไปทั่วโลกธาตุ มันจะรู้สึกว่าไม่มีที่ให้จิตหยั่งลงไปเกิดอีกแล้ว ทุกอย่างนี้ว่างไปหมด มันว่าง ไม่มีที่ให้จิตหยั่งลงไปเกิด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 30 มิถุนายน 2567

Direct download: 670630.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พวกเราต้องเร่งศึกษา ปฏิบัติธรรมะ ศึกษาก็ต้องศึกษาหลักสำคัญทางพระพุทธศาสนา หลักธรรมะสำคัญๆ ต้องรู้จัก ปฏิบัติ ทำทานให้เป็น ถือศีลให้เป็น ภาวนาให้เป็น พูดอยู่เสมอว่าเราจำเป็นต้องศึกษา พระพุทธศาสนาไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เรานึกหรอก เป็นสิ่งที่เปราะมาก เราจะเห็นสัทธรรมปฏิรูป ธรรมะปลอม เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ ไม่เคยขาด ไม่เคยหมด กลุ่มหนึ่งบูมขึ้นมา ช่วงหนึ่งเสื่อมไป ก็มีอันอื่นขึ้นมาแทน ไม่จบไม่สิ้น ปัญหาเพราะว่าชาวพุทธเราไม่เคารพในการศึกษาพระธรรมวินัย บางคนเคารพพระพุทธเจ้าก็เคารพในฐานะเทพเจ้า ในฐานะเทวรูป เคารพพระสงฆ์ในฐานะเป็นพระมีฤทธิ์มีเดช ทำเครื่องรางของขลัง เราจะนับถืออย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่การนับถือแบบพุทธเลย ฉะนั้นจุดเร่งด่วนที่พวกเราต้องมี คือการศึกษาการปฏิบัติ ต้องทำ ไม่อย่างนั้นเราดำรงพระพุทธศาสนาเอาไว้ไม่ได้ คนที่จะทำลายพระพุทธศาสนา บางคนก็ไปมองว่า พวกศาสนาอื่นจะมาทำลาย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น ท่านบอกคนที่จะทำลายพระพุทธศาสนาได้ ก็คือพุทธบริษัทนั่นเอง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา คือคนที่จะทำลายพระพุทธศาสนา เพราะไม่ได้ศึกษาธรรมะให้ถ่องแท้ แล้วก็เชื่อ คิดผิดๆ เชื่อผิดๆ แล้วก็พูดผิดๆ ออกไป ถ่ายทอดธรรมะที่ผิดออกไป มันมีโทษรุนแรง คือบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา นึกถึงที่หลวงปู่มั่นบอกเลยว่า “พระสัทธรรมเมื่อเข้าไปประดิษฐานอยู่ในจิตปุถุชน จะกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูปทันทีเลย” มันจะเพี้ยนทันทีเลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 มิถุนายน 2567

Direct download: 670629.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การภาวนามีหลากหลาย จริตนิสัยคน พื้นฐานดั้งเดิมมันไม่เหมือนกันแต่ละคน วิธีปฏิบัติของแต่ละคนจะใช้อารมณ์กรรมฐานอะไร จะใช้วิธีแบบไหน ก็แล้วแต่ แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่จําเป็นต้องเลียนแบบกัน หัดเลือก ไม่จําเป็นต้องเอาอย่างกัน แต่มีปัญญาวิเคราะห์ตัวเอง อะไรที่เหมาะกับเรา ปัญญาที่วิเคราะห์ตัวเองออก ตัวนี้เรียกว่าสัมปชัญญะ ไปสํารวจตัวเองว่าเราควรจะภาวนาแค่ไหน ตอนนี้ควรจะทำความสงบ หรือควรจะฝึกความตั้งมั่น หรือควรเจริญปัญญา ดูตัวเอง สํารวจใจ วันไหนฟุ้งซ่านมากทำความสงบ วันไหนจิตมีกําลังพอ รู้ทันจิตที่ไหลไปมา จิตก็ตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นแล้วก็เจริญปัญญา จะเจริญด้วยการดูกาย ดูเวทนา หรือดูจิต ดูธรรมก็ได้ แล้วแต่จริตนิสัย จะเจริญปัญญาในสมาธิก็ได้ เข้าสมาธิแล้วออกมาเจริญปัญญาก็ได้ เจริญปัญญาด้วยจิตที่ตั้งมั่น แล้วมันเกิดอัปปนาสมาธิเข้าฌานทีหลัง ลีลาแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่มีกรรมฐานอะไรดีกว่ากรรมฐานอะไร แต่เราต้องมีปัญญามีสัมปชัญญะรู้ว่ากรรมฐานอะไรที่เหมาะกับเรา ไปดูตัวเอง ช่วยตัวเอง สํารวจตัวเอง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 มิถุนายน 2567

Direct download: 670623.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เวลาภาวนา เราจะพบความแตกต่างของคน 2 จำพวก พวกหนึ่งภาวนาด้วยตัณหา พวกนี้จะคิดอย่างเดียวว่าเมื่อไรจะจบ เมื่อไรจะสำเร็จ เมื่อไรจะได้มรรคผลสักที พอทำไปนานๆ แล้วไม่ได้ มันจะได้ได้อย่างไร เพราะเราทำเหตุของทุกข์ มันจะไปพ้นทุกข์ได้อย่างไร อยากพ้นทุกข์ก็ต้องทำเหตุของความพ้นทุกข์ คือการเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ก็ต้องทำเหตุให้ถูก ผลก็จะถูก พอเราเริ่มด้วยอยากๆ อยากบรรลุเร็วๆ อยากเห็นผลเร็วๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือความดิ้นรนของจิต พยายามจะทำอย่างนั้น พยายามจะทำอย่างนี้ สิ่งที่ได้คืออะไร ได้ทุกข์ ยิ่งพยายามมากยิ่งทุกข์มาก หลวงพ่อเคยพูดเรื่อยๆ บางคนนึกว่าหลวงพ่อพูดเล่น หลวงพ่อบอก “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความล้มเหลวอยู่ที่นั่น” เพราะว่าความพยายามตัวนี้ มันเป็นความพยายามที่เจือด้วยตัณหา เจือด้วยโลภะ มันมีความพยายามอีกอย่าง ความอยาก ความอยากมันมี 2 อย่าง อันหนึ่งอยากได้มา อยากรักษาไว้ อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ อันนี้คือตัณหา อีกอันหนึ่งคือฉันทะ ถ้าเราภาวนาด้วยตัณหา เราอยากได้ผล ถ้าเรามีฉันทะ เรามีความพึงพอใจที่จะทำเหตุ ถ้าเรามีฉันทะ เราพอใจที่จะทำเหตุ ไม่ใช่แสวงหาผล ถ้าอยากได้ผล เป็นตัณหา ถ้าอยากทำเหตุที่ดีที่ถูกต้อง อันนี้เรียกว่าฉันทะ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 มิถุนายน 2567

Direct download: 670622.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ฝึกจิตให้ตั้งมั่น สติระลึกรู้อะไรก็เห็นทุกข์ เห็นไตรลักษณ์ของมันไป พอเห็นแล้วใจมันจะคลายออกจากโลก ไม่มีใครสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลให้เข้าถึงโลกุตตระได้ จิตบรรลุเองเมื่อปัญญาแก่รอบ ปัญญามันเห็นทุกข์ ทุกข์เพราะไม่เที่ยง ทุกข์เพราะถูกบีบคั้น ทุกข์เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับ ตรงที่เห็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ เรียกว่าเราเห็นทุกข์แล้ว หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 มิถุนายน 2567

Direct download: 670620.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันความผิดพลาดของตัวเองขึ้นมา คือการศึกษาพระพุทธศาสนา การศึกษาศาสนาพุทธมีบทเรียน 3 บท ที่เรียกว่าไตรสิกขา เราจะต้องศึกษาว่าทำอย่างไรเราจะมีศีล เพราะศีลเป็นเครื่องมือข่มกิเลส ไม่ให้มีอำนาจเหนือจิตใจ ไม่ให้กิเลสบงการจิตใจเราได้ ศีลที่ดีมากๆ เลยสำหรับนักปฏิบัติชื่ออินทรียสังวรศีล อินทรียสังวรศีลก็คือการมีสติรักษาจิตของเรานั่นล่ะ เวลาที่เราภาวนาจริงๆ กิเลสเกิดมาแล้วเรามีสติรู้ทัน กิเลสดับอัตโนมัติเลย นี่คือบทเรียนที่หนึ่ง ทำอย่างไรจิตใจเราจะเป็นปกติ ศีลคือความเป็นปกติของจิตใจ ไม่ถูกกิเลสชั่วหยาบบงการ ศีลในขั้นต้นอาจจะมี 5 ข้อ 8 ข้อ 10 ข้อ แต่ศีลสำหรับนักปฏิบัติมีข้อเดียว มีอินทรียสังวรศีล เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อินทรีย์คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกระทบอารมณ์แล้ว จิตใจเราเกิดอะไรขึ้น เรามีสติรู้ทัน บทเรียนที่สอง ชื่อ “อธิจิตตสิกขา” ขั้นที่เราจะพัฒนาจิตตสิกขานี่ จะทำให้จิตเรามีกำลัง กิเลสแผ้วพานไม่ได้ในขณะที่จิตเรามีกำลัง ถ้าเราเรียนรู้จิตใจตัวเองแล้ว สิ่งที่เราได้มาคือสมาธิที่ดี สมาธิที่ถูกต้อง บทเรียนสุดท้ายชื่อปัญญาสิกขา “อธิปัญญาสิกขา” เรียนรู้ให้เห็นความจริงของรูปนามกายใจ ว่ารูปนามกายใจนี้เป็นไตรลักษณ์ เพราะเห็นตามความเป็นจริงจะเบื่อหน่าย คลายความยึดถือแล้วหลุดพ้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 16 มิถุนายน 2567

Direct download: 670616.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ไปหัดอ่านจิตตัวเอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์เหมือนคนทั่วไป กระทบแล้วก็เกิดความรู้สึกเหมือนคนทั่วๆ ไป ที่ต่างกับคนทั่วไป คือความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น จิตใจเราเป็นอย่างไร รู้เข้ามาตรงนี้ แค่นี้ล่ะ ที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา ตรงนี้ล่ะเป็นธรรมะข้ามโลก ไม่อย่างนั้นมันก็หลงอยู่กับโลก หลงอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสอะไรเพลินๆ ไปวันๆ อยู่ไปจนแก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย ตายแล้วก็กลับมาเกิดอีก วนเวียนไม่รู้จักจบจักสิ้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 มิถุนายน 2567

Direct download: 670615.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

การภาวนาก็เหมือนซักผ้า ระหว่างการทำผ้าให้สกปรกกับการทำผ้าให้สะอาด อันไหนมันยากกว่ากัน สกปรกง่าย แต่พอสกปรกแล้วจะทำให้สะอาด ก็ยากแล้ว แต่ถ้าเราอดทน เรามีผ้า เราก็ซักให้ดี เวลาจะใช้ก็ระมัดระวังไม่ให้มันเปื้อน ผ้ามันก็ดูไม่สกปรกมาก การภาวนาก็เหมือนกัน ถ้าเราซักฟอกจิตใจเราด้วยสติด้วยปัญญา ขณะเดียวกันเราก็ไม่ไปทำผิดศีล ให้มันปนเปื้อนความสกปรกเข้ามาอีก ถ้าเราไม่รักษาศีล เหมือนเราทำผ้าให้สกปรกตลอดเวลา พอถึงเวลาจะมานั่งสมาธิมาเดินจงกรมอะไรอย่างนี้ มันสู้กันไม่ไหว ทำสกปรกวันหนึ่ง 10 กว่าชั่วโมง มาปฏิบัติชั่วโมงหนึ่งแล้วก็บ่นเมื่อไรจะบรรลุมรรคผล มันเทียบกันไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 มิถุนายน 2567

Direct download: 670609.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าภาวนาไปเรื่อยๆ จิตรวมวูบหมดความรู้สึก อาจารย์บอกได้โสดาบัน วูบครั้งที่สองได้สกทาคามี ครั้งที่สามได้อนาคามี ครั้งที่สี่เป็นพระอรหันต์อะไรอย่างนี้ ถ้าเขาพยากรณ์อย่างนี้ เราก็ต้องเทียบกับตำรา บอกว่าได้โสดาบัน พระโสดาบันมีคุณสมบัติอะไร ก็ต้องละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้ ต้องมีศีลอันงาม ไม่มีความด่างพร้อย เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ไม่มีสรณะอื่น นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณสมบัติที่ดีของพระโสดาบัน เรามาวัดใจตัวเองเลย มีไม่มี ถ้าจิตรวมวูบไปแล้วก็ เวลาคิด เวลานึก เวลาเผลอ ยังมีเราอยู่ มีเราซ่อนอยู่ มันก็ยังไม่ขาดจริง มันขาดด้วยกำลังสมาธิ แต่ไม่ได้ขาดด้วยกำลังของมรรค เวลามีสมาธิขึ้นมา ตัวตนไม่มีก็ได้ เพราะความเป็นตัวตนไม่ได้เกิดตลอดเวลา มันเกิดเป็นคราวๆ เหมือนกิเลสตัวอื่นนั่นล่ะ เพราะฉะนั้นเวลาภาวนาจิตสงบลงไป แล้วบอกไม่มีตัวตน ตอนนั้นไม่มี ออกจากสมาธิมาก็มี เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะวัดกิเลสว่าบรรลุชั้นไหนๆ ให้วัดในสภาวะที่จิตเป็นปกติของมนุษย์ธรรมดาๆ นี้ อย่าไปวัดในขณะจิตทรงฌานอยู่ อย่างถ้าเข้าไปถึงอากิญจัญญายตนะ ไม่ยึดทั้งจิต ไม่ยึดทั้งอารมณ์ ทรง มันทรงสภาพคล้ายกับนิพพานมากเลย สภาวะ แล้วก็บอกว่าเข้าถึงพระนิพพานแล้ว พอถอยออกมาก็กิเลสเหมือนเดิม พอออกมาอยู่กับโลกข้างนอกนี่ กิเลสมันก็แสดงตัวขึ้นมา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 มิถุนายน 2567

Direct download: 670608.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ที่เราปฏิบัติธรรมเราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อสิ่งอื่นหรอก จุดหมายปลายทางคือความพ้นทุกข์ เราจะพ้นทุกข์ได้ เราต้องเรียนรู้ทุกข์ เรียนรู้ให้เห็นความจริง ทุกข์อยู่ที่กายเรียนรู้กาย ทุกข์อยู่ที่จิตเรียนรู้ที่จิต เรียนรู้ไปจนเห็นความจริงของกาย เรียนรู้จนเห็นความจริงของจิต พอเห็นความจริงแล้วจิตจะเบื่อหน่าย คลายความยึดถือแล้วจิตหลุดพ้น จิตหลุดพ้นคือมันไม่ยึดถือกายมันไม่ยึดถือจิตใจ เมื่อไม่ยึดถือมันก็ไม่ทุกข์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มูลนิธิเพื่อการเผยแผ่ธรรมะภาคภาษาจีนฯ 7 มิถุนายน 2567

Direct download: 670607.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ค่อยภาวนา เริ่มจากกายก็ได้ เวทนาก็ได้ จิตก็ได้ แล้วสุดท้ายมันจะลงมาที่ปฏิจจสมุปบาท ลงมาที่อริยสัจทุกคน เพราะถ้ายังไม่ถึงรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ยังไม่จบกิจในพระพุทธศาสนา เรียกว่ายังไม่รู้ทุกข์ ยังไม่ได้รู้ทุกข์ ฉะนั้นเราดูกายก็ได้ แล้วต่อไปเราก็เข้ามาเห็นทุกข์ได้ ดูเวทนา ดูจิตแล้วก็เข้ามาเห็นทุกข์ได้ เห็นทุกข์ก็เห็นธรรมนั่นล่ะ พอเรารู้ความจริงแจ่มแจ้ง กาย เวทนา จิต ธรรมไม่มีอะไร มีแต่ทุกข์ล้วนๆ มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของถูกบีบคั้น มีแต่ของที่อยู่นอกเหนืออำนาจบังคับ พอเห็นอย่างนี้จิตมันจะวาง พอจิตมันปล่อยวางได้ รู้ทุกข์จนมันละสมุทัยแล้ว มันก็แจ้งนิโรธ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 มิถุนายน 2567

Direct download: 670602.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การปฏิบัติเราต้องทำให้ครบ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าขาดอันใดอันหนึ่ง การภาวนาก็จะล้มเหลว ศีลก็ฝึกตัวเอง ไม่ตามใจกิเลส สมาธิก็ฝึกให้จิตใจสงบจากกิเลสชั่วครั้งชั่วคราว แล้วอาศัยช่วงเวลานั้นมาเจริญปัญญา ถ้าเราเอาใจที่ปนเปื้อนกิเลสไปเจริญปัญญา มันทำไม่ได้จริง ฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของสำคัญ ขาดไม่ได้ ศีลเป็นเครื่องข่มใจ ไม่ให้ไหลตามกิเลส สมาธิเป็นเครื่องข่มกิเลส ไม่ให้มีอำนาจเหนือใจ ปัญญาเป็นเครื่องล้างผลาญทำลาย ขุดรากถอนโคนกิเลส 3 สิ่งนี้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ขาดอันใดอันหนึ่งก็สู้ยาก สู้ไม่ไหว หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 มิถุนายน 2567

Direct download: 670601.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

1 « Previous 1 2 3 4 5 6 7 Next » 72