Tue, 5 November 2024
การปฏิบัติ เราต้องให้ถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ปัญญาต้องเห็นไตรลักษณ์ เห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับไปๆ มีแล้วก็หายไป ไม่มีอะไรคงที่ ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ถ้าศีลเราไม่ดี สมาธิเราก็พัง พอศีลไม่ดี ใจจะถูกกิเลสเย้า ยั่วยวน ชักจูงไป จิตก็ฟุ้งซ่าน สมาธิเราก็เสีย ไม่ตั้งมั่น แล้วถ้าเราไม่มีศีล เราไปเจริญปัญญา มันจะเป็นปัญญาแบบคนทุศีล ปัญญาแบบตามใจกิเลสปกป้องกิเลส เข้าข้างกิเลส เพราะฉะนั้นตั้งใจ ศีลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทำแล้วมีอานิสงส์มาก เราจะได้ประโยชน์ในปัจจุบันได้ประโยชน์ในอนาคต ได้ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 ตุลาคม 2567 |
Mon, 4 November 2024
ต้องฝึกสติให้ถูก ให้เป็นสัมมาสติจริงๆ ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง รู้สึก หัดรู้สึกเรื่อยๆ อย่างจิตเราหลงไปคิด เรามีสติรู้ เฮ้ย หลงคิดแล้ว มีคำว่า “แล้ว” ด้วย เพราะเวลาที่จิตหลงคิด ไม่มีสติอยู่แล้ว สติมาเกิดทีหลัง ตรงที่จิตมันจำสภาวะหลงคิดได้ พอจิตมันหลงคิดไป แล้วจิตมันจำได้ เฮ้ย สภาวะอย่างนี้ จิตที่ไหลๆ ออกไปอย่างนี้ มันหลง นี่มันหลงไปคิดแล้ว จิตมันจำสภาวะได้ สติเกิดปั๊บขึ้นมา สภาวะหลงคิดดับทันทีเลย สภาวะตั้งมั่นคือสัมมาสมาธิ ก็เกิดขึ้นทันที มีสติที่ถูกต้องก็จะมีสมาธิที่ถูกต้อง นี่ล่ะถ้าเราเจริญสติ อันแรกที่เราได้คือสติ อันที่สอง สมาธิ อันที่สาม ของสำคัญคือเราจะได้ปัญญา ปัญญาคือความรู้ถูกความเข้าใจถูก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 ตุลาคม 2567 |
Thu, 24 October 2024
สัมมาสติ คือสติที่ระลึกรู้รูปนามกายใจ หรือสติปัฏฐานนั่นเอง สัมมาสติเมื่อทำให้มาก เมื่อเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ เห็นไหมอาศัยการมีสติ จะทำให้สมาธิเราบริบูรณ์ ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา โดยที่ไม่ได้เจตนา ไม่ได้รักษา ไม่ได้ทำขึ้นมา การมีสติทำให้เรามีศีลบริบูรณ์ ให้มีสมาธิบริบูรณ์ขึ้นมา แล้วสัมมาสมาธิเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้การเจริญปัญญาเกิดขึ้น เรียกว่าทําให้เกิดสัมมาญาณะ เพราะฉะนั้นเราจะเดินปัญญาได้ จะต้องมีสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิจะเดินปัญญาไม่ได้จริง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 กันยายน 2567 |
Wed, 23 October 2024
ตราบใดที่ยังไม่เห็นทุกข์ ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดไม่เลิกหรอก ถึงจะอยากไม่เกิดมันก็ยังเกิด เพราะปัญญายังไม่พอ เราปล่อยวางสิ่งต่างๆ ได้ เราเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วถ้าเราเข้าไปยึด หรือเราเข้าไปอยาก มันจะนำความทุกข์มาให้ ฉะนั้นไม่เห็นทุกข์ก็วางไม่ได้ ปล่อยไม่ได้ พวกเราอยากเข้าถึงธรรมะที่ไม่ทุกข์ ที่ไม่เวียนว่ายตายเกิด เราต้องเห็นทุกข์เห็นโทษของสังสารวัฏให้ได้ ฉะนั้นต้องเห็นโทษ เห็นภัยของสังสารวัฏ รู้ว่ามีความเกิดทีไร ก็มีความทุกข์ทุกที ต้องขนาดนั้นถึงจะไม่เกิด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 กันยายน 2567 |
Tue, 22 October 2024
ถ้าสติ สมาธิเรายังไม่แข็งแรง ดูกายไป กายมันไม่เคยหนีไปไหน ดูไป จนมันเห็น ทีแรกเห็นถึงความมีอยู่ของมัน ทำไมมีกายแล้วไม่รู้สึกว่ากายมีอยู่ คือหลง ต่อไปก็ดูความจริงของกายคือไตรลักษณ์ พอดูไปๆ จิตมันเห็นความจริงแล้วว่ากายนี้มีแต่ภาระ มีความทุกข์บีบคั้นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก มีความทุกข์บีบคั้นอยู่ทุกๆ อิริยาบถ จะต้องเคลื่อนไหว ต้องขยับ หนีความทุกข์ไปเรื่อยๆ พอมันเห็นความจริงคือมันเห็นไตรลักษณ์ จิตมันจะเบื่อ จิตมันจะเบื่อหน่าย ร่างกายนี้ไม่ใช่ของดีอย่างที่เคยคิดแล้ว พอเบื่อหน่าย จิตก็หาทางทำอย่างไรจะพ้นไป แต่มันก็พ้นไม่ได้ มันมีร่างกายมาแล้ว จิตใจมันก็รู้ ภาวนาเรื่อยๆ โอ้ มีร่างกายอยู่ จะให้มันพ้นจากร่างกายมันทำไม่ได้หรอก จิตใจมันก็เข้าสู่ความเป็นกลาง พอจิตใจมันเข้าสู่ความเป็นกลาง กำลังเรามากพอ เราจะเห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเรา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 กันยายน 2567 |
Mon, 21 October 2024
เรารู้สึกลงไปในร่างกาย มีแต่ความไม่เที่ยง ทำไมมันไม่เที่ยง มันถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา นั่งนานก็ทุกข์ เดินนานก็ทุกข์ นอนนานก็ทุกข์ เพราะฉะนั้นร่างกายเปรียบเหมือนกวางตัวหนึ่ง หรืออีเก้งตัวหนึ่ง ถูกความทุกข์ คือหมาล่าเนื้อฝูงหนึ่งไล่ตามกัดทั้งวันเลย ก็ต้องวิ่งๆๆ หนีไป วิ่งหนีไปจนกระทั่งบาดเจ็บมาก วิ่งไม่ไหว ล้มลงตาย ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน ถูกความทุกข์กัดทำร้ายอยู่ตลอดวัน เราก็พยายามแก้ พยายามบำบัดไปเรื่อยๆ นั่งนานมันเมื่อย เราก็เปลี่ยนอิริยาบถ มันร้อนมาก เป็นทุกข์ พอความร้อนมากไปก็ไปอาบน้ำ เราพยายามแก้ไขเพื่อให้ร่างกายนี้อยู่รอด เหมือนกวางวิ่งหนีหมาล่าเนื้อ ความทุกข์มันไล่ขย้ำอยู่ตลอดเวลา หนีไม่พ้น สุดท้ายก็บาดเจ็บมากขึ้นๆ พออายุเยอะขึ้น บาดแผลเต็มตัวเลย หน้าตาของเราก็มีบาดแผล มีตีนกา หน้าเหี่ยว หน้าย่น เนื้อหนังอะไรนี้ก็ถูกสูบออกไปจนเหี่ยวๆ ไปหมดทั้งตัว เป็นร่องรอย เป็นความบอบช้ำ ที่โดนหมาของกาลเวลามันไล่ขย้ำเอา ดูไปเรื่อยๆ ร่างกายนี้ไม่มีสาระแก่นสาร เป็นของไม่เที่ยง เป็นของที่ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งหมดแรงหนีก็ตาย เหมือนกวางถูกหมาไล่กัด กัดไปหลายเขี้ยว หมดแรงจะวิ่งก็ล้มลงไป เขาก็เข้ามากินเนื้อเลย ร่างกายเรานี้ก็เหมือนกัน โดนความทุกข์ขย้ำอยู่ตลอดเวลา มีสติรู้ลงมาก็เห็นร่างกาย ไม่ใช่ของวิเศษหรอก ร่างกายนี้มีแต่ก้อนทุกข์ มีแต่ภาระที่ต้องดูแลรักษา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 21 กันยายน 2567 |
Fri, 18 October 2024
ที่ฟังหลวงพ่อนี่ก็เป็นปริยัติ เอาไปทำ ทำปฏิบัติสมถะให้จิตสงบ ทำสมถะให้จิตตั้งมั่น เจริญวิปัสสนาให้เห็นความจริง คือไตรลักษณ์ของรูปนามกายใจ ถัดจากนั้นมรรคผลจะเกิดเอง นี่เรื่องที่เราจำเป็นต้องเรียน ในขณะที่เราฟังอย่างนี้เราเรียนปริยัติ แล้วเราก็ลงมือปฏิบัติ แล้วตรงที่สำคัญมากเลยตอนที่เจริญปัญญา เราจะเรียนถึงสภาวธรรมจริงๆ รูปธรรมนามธรรม อันนี้ว่าไปก็คือการเรียนอภิธรรม แต่เป็นอภิธรรมภาคปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่อภิธรรมในตำรา อภิธรรมในตำราดีไหม ดี แต่ว่ายังล้างกิเลสไม่ได้ แล้วต้องให้เจออภิธรรมในภาคปฏิบัติ เช่น เห็นราคะเกิดแล้วก็ดับ ราคะเป็นอภิธรรมตัวหนึ่ง เป็นสภาวธรรมตัวหนึ่งก็อยู่ในอภิธรรมล่ะ เห็นโทสะเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นที่เรากำลังทำวิปัสสนานี่ เรากำลังเรียนอภิธรรมอยู่ แต่เป็นอภิธรรมภาคปฏิบัติ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 15 กันยายน 2567 |
Thu, 17 October 2024
ดูนามธรรมไม่ได้ ดูกายไป ดูกายแล้ว ใจมันไม่ลง มันไม่ชอบ ก็ดูเวทนาไป หรือบางคนดูเวทนาก็ไม่ชอบ ก็ดูสังขารไป ดูกรรมฐานที่เราถนัด ทางใครทางมัน ไม่ต้องเลียนแบบกัน ได้ยินว่าหลวงพ่อดูจิต แล้วคิดว่าทุกคนต้องดูจิต ไม่ใช่ คนส่วนใหญ่บางทีต้องเริ่มจากกายด้วยซ้ำไป เพราะกำลังไม่พอ สติไม่ว่องไวพอ จิตมันไว ร่างกายมันไม่ไว แต่จิตมันว่องไว จิตหนีเที่ยวอย่างรวดเร็ว ร่างกายไม่เคยหนีไปไหนเลย นั่งจุ้มปุ๊กอยู่นี่ หรือเดินก็เดินอยู่ด้วยกัน อยู่ตรงนี้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 กันยายน 2567 |
Wed, 16 October 2024
ถ้าต้องการให้จิตสงบ น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง ทำอันนี้ ทำไป เดี๋ยวสงบเอง ถ้าต้องการให้จิตตั้งมั่น มันจะเป็นสมาธิอีกชนิดหนึ่ง สมาธิที่จิตสงบอยู่เฉยๆ เรียกว่าอารัมมณูปนิชฌาน สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว อารมณ์เป็นตัวเอก แต่เลือกอารมณ์ที่อยู่แล้วมีความสุข แต่ถ้าเราอยากให้จิตตั้งมั่น มันเป็นสมาธิอีกชนิดหนึ่ง สามารถเห็นไตรลักษณ์ได้ เรียกลักขณูปนิชฌาน เห็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่คิดไตรลักษณ์ คิดไตรลักษณ์ไม่ใช่เลย ยังคิดเอา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร 10 กันยายน 2567 |
Tue, 15 October 2024
การดูจิตดูใจไม่ใช่เรื่องยาก แค่ย้อนมาสังเกตจิตใจตนเอง มีตา มีหู จมูก ลิ้น กาย ใจเหมือนกับคนอื่นนั่นล่ะ ก็ไม่ต้องแกล้งทำหูหนวกตาบอด ไม่ต้องทำจิตให้นิ่งๆ ไม่คิดไม่นึก ก็ให้จิตมันทำงานไปตามธรรมชาติธรรมดา มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีใจก็คิด ให้มันทำงานไป พอตาเห็นรูป เราก็ไม่แทรกแซงจิตว่าจิตต้องเฉย ห้ามยินดียินร้ายอะไร ไม่ต้อง ตาเห็นรูปแล้วจิตเกิดยินดียินร้ายตรงนี้ เกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดดีเกิดชั่ว รู้ทันตรงนี้ ไม่ยากที่จะรู้ แต่ละเลยที่จะรู้ เพราะมัวแต่สนใจของข้างนอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 กันยายน 2567 |
Mon, 14 October 2024
เราก็ต้องรู้ว่า เราจะทำสมาธิเพื่ออะไร ทำสมถะเพื่ออะไร เพื่อให้มีแรง เพื่อให้จิตตั้งมั่น ตอนไหนจิตไม่มีแรง น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญที่ตัวอารมณ์ จิตก็จะมีกำลัง เพราะจิตไม่ได้วิ่งวอกแวก ไปที่อารมณ์โน้นทีอารมณ์นี้ที เพราะจิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว จิตก็ได้พักผ่อน จิตก็เลยมีแรง วิธีทำให้จิตตั้งมั่นก็คือ อาศัยสติรู้เท่าทันพฤติกรรมของจิต อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วจิตมันหนีไปคิด รู้ทันว่าจิตหนีไปคิด ไม่ได้น้อมจิตไปหาลมหายใจ ไม่ได้น้อมจิตไปที่พุทโธ แต่รู้ทันจิต ฉะนั้นสมาธิ 2 อันนี้ไม่เหมือนกัน อย่างแรกที่ทำเพื่อความสงบนั้น ตัวอารมณ์เป็นพระเอก อย่างที่จะฝึกให้จิตตั้งมั่นนั้น ตัวจิตเป็นพระเอก 2 อันนี้จะแตกต่างกัน ผลที่ได้ก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นเราคอยรู้เท่าจิตของตัวเอง ทำกรรมฐานไป อะไรก็ได้ที่เราถนัด แล้วคอยรู้ทันจิตตนเอง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 กันยายน 2567 |
Fri, 11 October 2024
พอจิตตั้งมั่นและเป็นกลาง ก็จะเกิดปัญญาเห็นความจริงของร่างกายของจิตใจ เมื่อเห็นความจริงของร่างกายของจิตใจอย่างถ่องแท้แล้ว จะรู้เลยขันธ์ 5 มันไม่มีอะไรหรอก ขันธ์ 5 ก็มีแต่ทุกข์นั่นล่ะ รูปนาม กายใจนี่มีแต่ทุกข์นั่นล่ะ พอใจมันยอมรับความจริงได้ ความอยากก็ไม่เกิด เมื่อความอยากไม่เกิด ความยึดถือ ความดิ้นรนปรุงแต่งของจิตก็ไม่เกิด ความทุกข์ทางใจก็ไม่เกิด จิตใจมันเป็นอิสระขึ้นมา พ้นทุกข์เพราะพ้นจากความปรุงแต่ง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 กันยายน 2567 |
Thu, 10 October 2024
เราปรารถนาความสุขในชีวิต เราต้องรู้ว่าความสุขอย่างโลกๆ มันสุขหลอกๆ มันสุขเพื่อให้เราทุกข์ต่อไป สุขหลอกๆ ให้เรามีแรงที่จะวิ่งพล่านๆ ตามกิเลสตัณหาต่อไป แล้วความสุขที่ประณีตกว่านั้น คือความสุขของสมถกรรมฐาน ความสุขของการทำวิปัสสนากรรมฐาน ความสุขเมื่อเกิดอริยมรรค เกิดอริยผล ความสุขเมื่อจิตทรงพระนิพพาน มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางเรื่อยๆ ไป แล้วสติปัญญาจะค่อยพัฒนาแก่กล้าขึ้น ใจจะปล่อยวางจางคลายจากโลกมากขึ้นๆ พอใจมันคลายตรงนี้ มันจะรู้เลยว่า ในโลกนี้ไม่มีสาระ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราถูกหลอกให้วิ่งพล่านๆ แสวงหาสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อวันหนึ่งจะสูญเสียมันทั้งหมดไป ใจฉลาดขึ้นมา ใจมีปัญญาขึ้นมา ใจก็ค่อยสงบ ใจมีความสุข หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 สิงหาคม 2567 |
Tue, 1 October 2024
การที่เรายังยึดติดในกายในใจ เรายังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องหมดความยึดติดในกายในใจ เราถึงจะพ้นไป โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือรูปนาม หมู่สัตว์มันก็คือรูปกับนามนั่นล่ะ ฉะนั้นจิตเราจะพ้นจากโลกได้ พ้นจากความเป็นสัตว์ได้ ก็ต้องหมดความยึดถือในรูปนาม ถ้าเรายังยึดกายอยู่ เราก็ยังติดกาม หรือติดรูปฌาน ถ้าเรายึดจิตอยู่ก็ยังไปติดอยู่ในอรูปฌานได้ ทําอย่างไรเราจะไม่ยึดในรูปในนาม เราต้องเห็นความจริงของรูปนาม ต้องเห็นความจริงของร่างกายของจิตใจ ว่ามันไม่ใช่ของดีของวิเศษ ร่างกายเต็มไปด้วยความไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยอนัตตา บังคับมันไม่ได้ มันเป็นแค่วัตถุธาตุ ร่างกายเป็นแค่ธาตุที่หมุนเวียน มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก พอเราเห็นอย่างถ่องแท้มีสติระลึกรู้ร่างกาย มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราก็จะเห็นความจริงของร่างกาย มีแต่ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้าเห็นถ่องแท้แล้วจิตก็หมดความยึดถือในร่างกาย แล้วเราก็ภาวนาของเราต่อไป วางกายได้แล้ว งานสุดท้ายก็คือจิต ทวนเข้ามาที่จิตสังเกตเข้าไปที่จิต จิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 สิงหาคม 2567 |
Mon, 30 September 2024
สิ่งที่เป็นภัยมากที่สุดคือตัวมิจฉาทิฏฐิ ยิ่งพวกเซลฟ์จัด แล้วก็จัดแบบไม่รู้ถูก ความถูกต้อง เผยแพร่ออกไป พวกนี้อันตราย ระมัดระวังของเรา ความชั่วทั้งหลายอย่าไปทำ ความดีมีโอกาสทำ ให้รีบทำเสีย อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป น่าเสียดาย ควรจะทำดีได้ 10,000 ครั้ง ก็ปล่อยเวลาทิ้งไป เลยได้ 9,000 ครั้ง น่าเสียดาย ขาดทุน พวกเรามีโอกาสเรียนธรรมะ ก็ตั้งอกตั้งใจเรียน สิ่งที่เราจะได้มาคือตัวสัมมาทิฏฐิ สิ่งที่เราจะหมดไปสิ้นไปคือตัวมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีอะไรมีโทษร้ายแรงเท่ามิจฉาทิฏฐิ ร้ายกาจ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แล้วก็ตัวเองไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แล้วชวนคนอื่นให้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีไปด้วย มันเป็นกรรมซ้ำซ้อน มากมายเหลือเกิน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 สิงหาคม 2567 |
Fri, 20 September 2024
เครื่องมือสำคัญที่เราจะอ่านความปรุงแต่งของจิตออก มีเครื่องมือหลักๆ 2 ตัว สติกับสมาธิ สติเป็นตัวรู้ทัน สังเกตจิตใจเรามีความปรุงแต่งใดๆ เกิดขึ้นให้รู้ทัน ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ให้รู้ทัน ปรุงเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ให้รู้ทัน ปรุงดี ปรุงชั่ว ให้รู้ทัน หัดรู้ทันความปรุงแต่งไป แล้วต่อไปเราจะเห็นความปรุงแต่งกับจิตมันทำงานด้วยกัน เกิดมาด้วยกัน แต่มันเป็นคนละอันกัน ความโกรธก็อันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง ความโลภกับจิตก็คนละอัน ความหลงกับจิตก็คนละอันกัน เพราะธรรมชาติของจิตนั้นผ่องใส แต่ว่าสิ่งปรุงแต่งนี้ทำให้จิตเรามอมแมมไป หัดรู้หัดดูไป หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 สิงหาคม 2567 |
Thu, 19 September 2024
ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก แต่ถ้าส่งออกนอกแล้วเราไม่รู้ทัน มันก็จะเป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จิตที่ออกนอกมันไปด้วยกำลังของตัณหา มันผลักดันออกไป ผลที่ตามมาคือทุกข์ทั้งสิ้น มีภาระทางใจเกิดขึ้นเรียกว่าทุกข์ ท่านก็เลยสอนบอกว่าอย่าส่งจิตออกนอก แต่ธรรมดาจิตย่อมส่งออกนอก แต่เมื่อจิตส่งออกนอกแล้วให้มีสติรู้ทัน ตรงนั้นล่ะท่านบอกอันนั้นคือการเจริญมรรค ถ้าจิตออกนอกแล้วเรามีสติรู้ทัน ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้น เวลาจิตส่งออกไป ถ้าเราไม่มีสติกิเลสจะเกิด ในทางกลับกัน ถ้าจิตออกนอกแล้วเรารู้ทัน จิตหลงไปดูรูป รู้ว่าจิตหลงไปดูรูป จิตที่หลงไปดูรูปจะดับ จะเกิดจิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา จิตหลงไปฟังเสียงแล้วเรามีสติรู้ทันว่าจิตหลงไปฟังเสียง จิตที่หลงไปฟังเสียงก็จะดับ ก็จะเกิดจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา จะเกิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นตรงที่เรามีสติรู้ทันจิตที่ส่งออกนอก จิตที่ส่งออกนอกจะดับ แล้วจะเกิดจิตที่ตั้งมั่นขึ้นมาแทน ตรงจิตออกนอกเรารู้ทัน กิเลสจะครอบงำจิตเราไม่ได้ ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น เพราะคนทำผิดศีลเพราะถูกกิเลสครอบงำ แล้วจิตออกนอกเรามีสติรู้ทัน จิตที่ออกนอกดับ จิตที่ตั้งมั่นจะเกิดขึ้นมาแทนที่ สมาธิที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้น แล้วต่อไปถ้าจิตออกนอกอีกเราก็รู้อีก ต่อไปปัญญาจะเกิด มันก็จะเห็นจิตที่ออกนอกมันก็ไม่เที่ยง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 18 สิงหาคม 2567 |
Wed, 18 September 2024
เราค่อยภาวนาจากสิ่งที่หยาบๆ ไปสู่ความละเอียดประณีต ถึงจิตถึงใจมากขึ้นๆ เป็นลำดับไป จนวันหนึ่งจิตเราพ้นจากอาสวกิเลส รู้ไปเป็นลำดับๆ ไป มันจะค่อยละเอียด ค่อยประณีตมากขึ้นๆ ทีแรกไม่ต้องคิดมาก ถ้าเราจะดูกาย เราก็เห็นร่างกายไปเลย ด้วยจิตใจธรรมดาอย่างขณะนี้ เห็นร่างกายมันนั่ง ร่างกายที่นั่งอยู่มันถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ขั้นแรกยังเจือการคิดว่าไม่ใช่เรา ต่อไปจิตมันรู้ชำนิชำนาญแล้ว พอรู้สึกถึงร่างกาย มันไม่เห็นความเป็นเราอยู่ในกายเลย แล้วฝึก จิตใจมีกำลังขึ้นมาก็เห็นนามธรรมได้ ก็จะเห็นความสุข ความทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน เห็นกุศลอกุศลทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 17 สิงหาคม 2567 |
Tue, 10 September 2024
เราต่างกับคนทั่วๆ ไปนิดเดียว คือเราจะย้อนเข้ามาที่จิตใจของเรา ไม่ส่งออกข้างนอก ไม่ส่งออกไปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ พอกระทบทางหูจมูกลิ้นกายใจแล้ว ย้อนเข้ามาอ่านใจตัวเองให้ออก แค่นี้ล่ะ การที่เราสามารถย้อนกลับเข้ามาอยู่กับใจตัวเอง เรียกว่าเรามีสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา อย่างพอเราย้อนเข้ามาที่ใจตัวเอง เราก็จะเห็นจิตใจของเรา พอเห็นรูป จิตใจเราเกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดกุศลเกิดอกุศล เราก็รู้เท่าทันแล้วเราก็จะเกิดปัญญา เราจะเห็นว่าความสุขความทุกข์ความดีความชั่วที่เกิดขึ้นกับใจ อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป แล้วก็เป็นของที่ควบคุมบังคับไม่ได้ ถ้าเราบังคับได้ เราก็สั่งว่าจงมีแต่ความสุข อย่ามีความทุกข์ เราสั่งไม่ได้ หรือเราจะสั่งว่าจงดีอย่างเดียวห้ามชั่ว เราสั่งไม่ได้ ตรงที่เราเห็นความจริง อันนั้นล่ะคือการเจริญปัญญา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 สิงหาคม 2567 |
Mon, 9 September 2024
อยู่กับโลก ต้องรู้จักมัน ต้องเข้าใจมัน ถ้าเราอยู่กับโลก จิตใจเราสงบสุข สบายตามสมควรกับอัตภาพแล้ว การที่เราจะมาถือศีลมาภาวนา มันจะไม่มีเครื่องกังวลใจ อย่างบางคนเป็นหนี้บอล เจ้าหนี้ตามฆ่า หนีมาภาวนาในวัด หลบมาอยู่ตามวัด ใจมันจะสงบไหม ใจไม่มีทางสงบหรอก มันก็หวาดระแวงว่าเขาจะมาฆ่าเมื่อไร เพราะฉะนั้นการประพฤติตัวให้สะอาดหมดจดสำคัญ จะทำให้เรามีความสุข ถ้าเมื่อไรเราย้อนมาดูตัวเองแล้วเราไม่เห็นข้อบกพร่อง ผิดศีลผิดธรรม หรือบางทีมองตัวเองไม่ออก พรรคพวกเพื่อนฝูงที่ดีเขาก็เห็นว่าเราดีจริง หรือครูบาอาจารย์เห็นว่าเราดีจริง คนอย่างนี้ใจมันสงบสุข ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างสะอาดหมดจด เวลาเราลงมือภาวนาจิตมันจะรวมง่าย หายใจไม่กี่รอบก็จิตรวมแล้ว ถ้าฝึกจนชำนิชํานาญ นึกอยากให้จิตรวมก็รวมทันทีเลย แต่ถ้าใจเราเศร้าหมอง มีแต่เรื่องชั่วๆ มีแต่ความหวาดระแวง กลัวคนจับได้อะไรอย่างนี้ นั่งให้ตายมันก็ไม่รวมหรอก จิตมันภาวนาไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นฆราวาสอยู่กับโลกอยู่อย่างฉลาด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 สิงหาคม 2567 |
Fri, 6 September 2024
ถ้าจิตเรามีกำลัง มีสมาธิพอ ตั้งมั่นขึ้นมา จะตั้งมั่นขึ้นมาด้วยการเข้าฌาน หรือโดยมีสติรู้เท่าทันจิตตัวเองก็ได้ แล้วจิตจะตั้งมั่นขึ้นมา พอจิตมันตั้งมั่นแล้วก็เดินปัญญา เห็นกายกับจิตเป็นคนละอันกัน เห็นเวทนากับร่างกายเป็นคนละอันกัน เห็นเวทนากับจิตเป็นคนละอันกัน เห็นสังขาร ความปรุงดีปรุงชั่วกับจิตเป็นคนละอันกัน อย่างเราเห็นความโกรธ รู้เลยความโกรธไม่ใช่จิต ความโกรธเป็นสิ่งที่ผ่านเข้ามา ให้จิตเห็นเท่านั้นเอง ถ้าจิตเราตั้งมั่น มันจะเริ่มแยก แยกขันธ์ได้ แยกธาตุได้ ค่อยๆ แยกออกไป แล้วเราจะเห็นร่างกายที่ถูกจิตรู้ ไม่ใช่เรา เวทนา ความรู้สึกสุขทุกข์ในร่างกาย ไม่ใช่ร่างกาย แล้วก็ไม่ใช่จิต แล้วก็ไม่ใช่เรา เวทนาทางใจคือความรู้สึกสุขทุกข์ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่เวทนาทางกาย แล้วก็ไม่ใช่จิต แล้วก็ไม่ใช่เรา กุศลอกุศลทั้งหลาย ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่เวทนา สุขทุกข์ ไม่ใช่จิต กุศลอกุศลทั้งหลายก็ไม่ใช่เรา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 สิงหาคม 2567 |
Thu, 5 September 2024
ไปดูตัวเอง ถนัดรู้กาย เราก็รู้กาย ถนัดรู้เวทนา ก็รู้เวทนา ถนัดดูจิตที่เป็นกุศลอกุศล เราก็รู้จิตไป รู้ไปเรื่อยๆ แล้วต่อมาเราก็จะเห็นทุกอย่างที่เรารู้มันเป็นของถูกรู้ถูกดู ร่างกายก็ถูกรู้ เวทนาก็ถูกรู้ จิตที่เป็นกุศลอกุศลก็ถูกรู้ เราเริ่มเดินปัญญาแล้ว แล้วต่อมาเราเห็นความเป็นไตรลักษณ์ ร่างกายก็อยู่ใต้ไตรลักษณ์ เวทนาก็อยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตก็อยู่ใต้ไตรลักษณ์ อันนี้เราขึ้นวิปัสสนาแล้ว เราเดินไปในเส้นทางอันนี้ เส้นทางของสติปัฏฐาน เรียกว่าเอกายนมรรค คําว่าเอกายนมรรค หรือทางเอก เป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 4 สิงหาคม 2567 |
Wed, 4 September 2024
จุดสำคัญก็คือ เราจะต้องฝึกจิตให้ตั้งมั่นขึ้นมาให้ได้ ถ้าจิตเราตั้งมั่นแล้ว สติระลึกรู้ร่างกาย ก็จะเห็นว่าร่างกายถูกรู้ถูกดูไม่ใช่ตัวเรา ถ้าจิตเราตั้งมั่นแล้วสติระลึกรู้เวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ ก็จะเห็นว่าความสุขความทุกข์ไม่ใช่ตัวเราของเรา ถ้าจิตเราตั้งมั่นอยู่ สติระลึกรู้กุศลอกุศล อย่างโลภโกรธหลง มันก็จะเห็น กุศลอกุศลโลภโกรธหลงอะไรไม่ใช่ตัวเรา นี่เราฝึกมากเข้ามากเข้า เราก็จะเห็นว่าบางครั้งจิตก็เป็นผู้รู้ บางครั้งจิตก็เป็นผู้หลง จิตที่เป็นผู้รู้มันก็ถูกรู้ จิตที่เป็นผู้หลงมันก็ถูกรู้ สุดท้ายกระทั่งจิตก็ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 กรกฎาคม 2567 |
Wed, 4 September 2024
เวลาที่เราภาวนา เราเจริญปัญญา เจริญปัญญารวดไปเลยไม่ได้ เจริญปัญญาพอประมาณ พอจิตใจจะหมดกำลัง หยุด ไม่ต้องเจริญปัญญา น้อมจิตเข้าหาอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง ทำความสงบเข้ามา ถ้าไม่ทำความสงบเลย มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส เดินปัญญาแล้ว มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส 10 ข้อ ไม่ต้องไปสู้กับมัน ถ้ามันเกิดวิปัสสนูปกิเลส ทำความสงบเข้ามา ถ้าจิตถึงฐานตั้งมั่นขึ้นมาเมื่อไร วิปัสสนูปกิเลส 10 ตัวหายหมดเลย มันแพ้สมาธิที่ถูกต้อง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 สิงหาคม 2567 |
Tue, 3 September 2024
เราจะต้องมาหัดเจริญสติปัฏฐานให้ได้ เพื่อวันหนึ่งเราจะได้เข้าถึงฝั่งของพระนิพพาน เราจะเข้าถึงความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่เป็นโลกุตตระ เป็นความสุขที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง มีอยู่นะความสุขที่พ้นความปรุงแต่ง ไม่ใช่มีแต่ความสุขที่ต้องอาศัยความปรุงแต่งอย่างที่พวกเราแสวงหากัน ต้องมีเงินเยอะๆ ต้องมีชื่อเสียง ต้องมีเมียสวย ต้องมีลูกฉลาด มีเงื่อนไขเยอะแยะเลย หรือต้องเข้าฌานถึงจะมีความสุข วันไหนฌานเสื่อมไม่มีความสุข อันนี้ความสุขอย่างนี้ยังเหลวไหลอยู่ เอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยจริงไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 28 กรกฎาคม 2567 |