Direct download: 660310.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660306B.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660305.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเรารู้ลงไป กิเลสเกิดหรือกุศลเกิดก็ตามเถอะ หรือร่างกายเคลื่อนไหวอยู่ รู้สึก สุข ทุกข์เกิด รู้สึก ดี ชั่วเกิด รู้สึก ถ้าเรามีสติรู้ทัน มันจะไม่ปรุงตัณหาขึ้นมาหรอก เมื่อไม่ปรุงความอยากขึ้น ตามอำนาจของกิเลส จิตใจก็จะไม่ดิ้นรนปรุงแต่ง จิตใจเราก็พ้นจากความปรุงแต่ง บางทีพ้นชั่วคราว ถ้าอย่างเรายังทำอยู่อย่างนี้ ก็พ้นชั่วคราว แต่มันจะพ้นถาวรได้ ถ้ารู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ รู้แจ้งแทงตลอดในขันธ์ 5 ถ้ารู้แจ้งแทงตลอดแล้ว ขันธ์ 5 ทั้งหมดตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ตัณหาจะไม่เกิดอีก ความปรุงของจิตจะไม่มี จิตก็จะพ้นจากความปรุงแต่งไป หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันสวนสันติธรรม 12 มีนาคม 2566

Direct download: 660312.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

สติปัฏฐานนี้จะบริบูรณ์ได้ ถ้ามีสัมมาวายามะเนืองๆ สัมมาวายามะ คือมีความเพียรชอบ อกุศลเกิดขึ้นรู้ทัน อกุศลก็ดับไป ในขณะที่มีสติอยู่ อกุศลใหม่ก็ไม่เกิด ในขณะที่มีสตินั้น กุศลได้เกิดขึ้นแล้ว ในขณะที่สติเกิดบ่อยๆ กุศลก็จะเจริญขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะทำสัมมาสติได้บริบูรณ์ ต้องทำสัมมาวายามะให้บริบูรณ์ มีสติรู้ทันจิตตัวเองไป แล้วอกุศลที่มีอยู่จะดับ อกุศลใหม่จะไม่เกิด กุศลที่ยังไม่เกิดก็จะเกิด ที่เกิดแล้วก็จะงอกงามพัฒนาขึ้นไป จนถึงกุศลสูงสุด สิ่งที่เรียกว่ากุศลขั้นสูงสุด คือปัญญา ในบรรดากุศลทั้งหลาย ปัญญาเป็นกุศลสูงสุด พอมีปัญญาเห็นตามความเป็นจริง จึงเบื่อหน่าย คลายความยึดถือ หลุดพ้น หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันสวนสันติธรรม 11 มีนาคม 2566

Direct download: 660311.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

Direct download: 660217.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 650617.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651207.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651205.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651011.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 650930.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พระพุทธเจ้าท่านเคยบอกว่า “กัลยาณมิตร เป็นเครื่องหมายแรกของอริยมรรค” เหมือนกับแสงเงินแสงทองตอนเช้ามืด ถ้าแสงเงินแสงทองขึ้นตรงไหน สว่างขึ้นด้านไหน เป็นเครื่องหมายแรกว่า พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นตรงนั้น การมีกัลยาณมิตร ก็เป็นเครื่องหมายแรกของการบรรลุอริยมรรค ท่านสอนอย่างนี้ แล้วต่อมาท่านก็สอนอีก “โยนิโสมนสิการ เป็นเครื่องหมายแรกของอริยมรรค” เหมือนแสงเงินแสงทองขึ้นมา แล้วพระอาทิตย์จะขึ้นตรงนี้ ถ้าเรามีโยนิโสมนสิการ ถึงวันหนึ่งอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น ฉะนั้นใน 2 สิ่งนี้มีความสำคัญมาก คือกัลยาณมิตรกับโยนิโสมนสิการ แต่ วันนี้พิสูจน์ยากว่าใครคือกัลยาณมิตร สิ่งที่หลวงพ่อแนะนำพวกเราคือโยนิโสมนสิการ ปลอดภัยที่สุด โยนิโสมนสิการบอกแล้วไม่ใช่การพิจารณา ใคร่ครวญเอาตามใจกิเลส ต้องดูว่ามันถูกหลักของการปฏิบัติหรือเปล่า หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันสวนสันติธรรม 6 มีนาคม 2566

Direct download: 660306A.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พอมีจิตที่ตั้งมั่นมากพอแล้วก็เดินปัญญา เดินปัญญาขั้นแรกก็คือการแยกขันธ์ เห็นร่างกายมันนั่งอยู่ จิตเป็นคนรู้ เห็นสุขทุกข์เกิดขึ้น จิตเป็นคนรู้ เห็นดีชั่วเกิดขึ้น จิตเป็นคนรู้ หัดแยกไป พอแยกขันธ์ชำนาญแล้ว ต่อไปมันจะเห็น แต่ละขันธ์นั้น ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงวันหนึ่งก็แจ่มแจ้ง ขันธ์ทั้งหมดเกิดแล้วดับทั้งสิ้น นี่คือภูมิธรรมของพระโสดาบัน และพระสกทาคามี ขันธ์ทั้งหลายในส่วนของรูปนี้เป็นตัวทุกข์ เอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ มีแต่จิตเท่านั้น ยังเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ นี่เป็นภูมิธรรมของพระอนาคามี แล้วขั้นสุดท้าย ขันธ์ทั้งหมดนั่นล่ะคือตัวทุกข์ พอภาวนามาถึงจุดนี้ มันจะตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ก็คือขันธ์ 5 นั่นล่ะคือตัวทุกข์ ฉะนั้นค่อยๆ เรียน ค่อยๆ ฝึกไปจนกระทั่งวางขันธ์ได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันสวนสันติธรรม 4 มีนาคม 2566

Direct download: 660304.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

นั่งสมาธิมากๆ แล้วก็มีแต่โมหะครอบ ไม่เรียกว่าความเพียรชอบ เดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่ได้พัฒนาสติ ไม่มีสติก็คือไม่มีกุศลล่ะ เดินหามรุ่งหามค่ำ มันก็คืออัตตกิลมถานุโยค การทำตัวเองให้ลำบาก มันไม่ใช่ทางสายกลาง การที่เราคอยสังเกตจิตใจตัวเอง จะทำให้สัมมาวายามะเจริญขึ้น อกุศลใดๆ ที่มันมีอยู่ พอเราสังเกตเห็น อกุศลนั้นจะดับ แล้วขณะที่เรามีสติอยู่ อกุศลใหม่จะเกิดไม่ได้ แล้วอย่างเรากำลังมีกิเลสอยู่ แล้วเราเกิดสติขึ้นมา ตรงที่มีสติ อกุศลดับ กุศลได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะสติมันเป็นองค์ธรรมที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศลทุกๆ ดวง เพราะฉะนั้นทันทีที่เราเกิดสติ กุศลได้เกิดขึ้นแล้ว อกุศลได้ดับลงไปแล้ว แล้วถ้าสติเราเกิดบ่อยๆ กุศลเราก็เจริญขึ้น พัฒนางอกงามขึ้นเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา แก่รอบขึ้นมา สุดท้ายก็เข้าสู่โลกุตตระ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันสวนสันติธรรม 26 กุมภาพันธ์ 2566

Direct download: 660226.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

นิพพาน คือสภาวะที่สิ้นตัณหา พอสิ้นตัณหาแล้วมันเป็นอย่างไร มันสงบ มันสันติ นิพพานมีสันติลักษณะ คือมันสงบ อย่างวัดนี้ชื่อวัดสวนสันติธรรม สิ่งที่เรียกว่า “สันติธรรม” คือนิพพาน แปลให้ออก ถ้าใครเขาถามว่า ลูกศิษย์วัดสวนสันติธรรม “สันติธรรม” คืออะไร คือพระนิพพาน นี่คืออุดมการณ์ของพวกเราชาววัดสวนสันติธรรม เราจะต้องนิพพานให้ได้ ไม่ชาตินี้ก็ชาติต่อๆ ไป นี่เป็นอุดมการณ์ที่เราตั้งวัดนี้ขึ้นมา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันสวนสันติธรรม 25 กุมภาพันธ์ 2566

Direct download: 660225.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เรามีศีลเพื่อสู้กับราคะ โทสะ โมหะ อย่างหยาบ ไม่ให้มันมาควบคุมจิตใจ จนกระทั่งเราทำความชั่วทางกาย ทางวาจา แล้วเรามาฝึกจิตให้มีสมาธิตั้งมั่นขึ้นมา เพื่อข่มกิเลสอย่างกลางคือนิวรณ์ นิวรณ์เป็นกิเลสที่ขัดขวางคุณงามความดี เวลาจะทำความดี นิวรณ์เกิดขึ้นมันก็ไม่มีแรงทำแล้ว ส่วนกิเลสละเอียด คือความไม่รู้ทั้งหลาย อาศัยปัญญา ไม่มีตัวอื่นจะมาช่วยได้ ศีลก็ไม่ได้ทำให้หายโง่ สมาธิก็ไม่ได้ทำให้หายโง่ เพียงแต่ศีลนั้นเกื้อกูลให้เกิดสมาธิ สมาธิเกื้อกูลให้เกิดปัญญา แล้วปัญญาเป็นตัวทำให้หายโง่ ฉะนั้นพวกเราต้องฝึก พยายามฝึกตัวเองให้มันได้ครบทุกอย่าง ศีลต้องรักษา ทุกวันต้องทำในรูปแบบ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งที่เราคุ้นเคย แล้วคอยรู้ทันจิตตัวเอง เราโน้มน้อมไปดูกายแล้วก็เห็นไตรลักษณ์ เรียกโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัศนะ เห็นจิตใจมันทำงาน จิตเราเป็นคนดู ก็เห็นจิตมันทำงานได้ ตั้งมั่นอยู่ หายใจพุทโธๆๆ เดี๋ยวหนีไปคิดได้ เห็นมันทำงาน อย่างนี้ก็เป็นญาณทัศนะ ได้เห็นอย่างมีปัญญา ค่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ สุดท้ายปัญญามันก็เกิด ปัญญาเกิดมันก็ล้างความเห็นผิด ล้างความเห็นผิดนั้น คือตัวปัญญาที่สำคัญ ปัญญาทำหน้าที่ล้างความโง่เขลา แล้วกิเลสตัวละเอียดถูกทำลายไป กิเลสอย่างกลางมันก็ถูกทำลายด้วย กิเลสอย่างหยาบมันก็ถูกทำลายไปด้วย เพราะฉะนั้นตัดลงที่จิตอันเดียวนี้ เห็นแจ้งลงที่จิตอันเดียว ก็ล้างหมดเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 ธันวาคม 2565

Direct download: 651231.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

วิปัสสนาคือการเห็น ปัสสนะ แปลว่าการเห็น ตรงตัวเลย วิ แปลว่าแจ้ง คือเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เราเห็นกายถูกต้องตามความเป็นจริง คือเห็นกายเป็นไตรลักษณ์ เห็นจิตถูกต้องตามความเป็นจริง ก็คือเห็นจิตเป็นไตรลักษณ์ เราจะเห็นตามความเป็นจริงได้ จิตต้องไม่หลงไปอยู่ในโลกของความคิด มิฉะนั้นผิดทันที จิตต้องตื่น ตื่นขึ้นมาให้ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องภาวะที่จิตเราตื่นขึ้นมา มีสมาธิที่ถูกต้องขึ้นมา เป็นเรื่องใหญ่ ตรงนี้เป็นสิ่งที่พวกเราขาดมากที่สุดเลย ฆราวาสทั้งหลายขาดสัมมาสมาธิ ขาดสมาธิที่ถูกต้อง มีสมาธิเคลิ้มๆ สมาธิเห็นโน่นเห็นนี่ อันนั้นไม่ได้เรื่องอะไร ไปทำสมาธิแล้วก็มีสติคอยรู้ทันจิตเอาไว้ แล้วเราจะได้สมาธิที่ถูกต้อง สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาๆ ทั้ง 8 ประกอบด้วยสติทั้งสิ้น ขาดสติตัวเดียว สัมมาทั้งหลายหายหมด กลายเป็นมิจฉาหมดเลย ฉะนั้นสติจำเป็น จำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 19 กุมภาพันธ์ 2566

Direct download: 660219.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

อยากเป็นพระโสดาบัน ขั้นแรกเลยจิตต้องตั้งมั่นขึ้นมาก่อน พอจิตตั้งมั่นแล้ว สติระลึกรู้กาย มันจะเห็นกายนี้ถูกรู้ ไม่ใช่เรา จิตตั้งมั่นแล้วสติระลึกรู้เวทนา มันก็เห็นเวทนาถูกรู้ ไม่ใช่เรา จิตตั้งมั่น สติระลึกรู้สังขารทั้งหลาย ความดีชั่วทั้งหลายที่ปรุงขึ้นมา ก็จะเห็นสังขารทั้งหลายไม่ใช่เรา จิตตั้งมั่นแล้วก็ดับ เกิดจิตไม่ตั้งมั่น หลงไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บางทีมีจิตตั้งมั่น แล้วก็หลงไปเกิดราคะ มีความสุข บางทีจิตตั้งมั่นแล้วก็ดับ หลงไป เกิดโทสะ มีความทุกข์ในใจ บางทีจิตตั้งมั่นอยู่ จิตก็มีความสุขอยู่ทั้งๆ ที่ตั้งมั่น บางทีจิตตั้งมั่นอยู่ แล้วก็เป็นอุเบกขาอยู่ก็มี จิตมันมีหลายชนิด แล้วเราจะเห็น มันทำงานเอง มันถูกรู้ จิตเองก็ถูกรู้ จิตก็ไม่ใช่เราอีก ถ้าเราสามารถเห็นได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณคือตัวจิตนั้นเอง ไม่ใช่เรา นั่นล่ะจะได้โสดาบัน เพราะฉะนั้นจะเป็นโสดาบัน ไม่ใช่มานั่งมโน ใส่บาตรพระวันหนึ่งให้ได้ 100 องค์ แล้วจะได้พระโสดาบัน ไม่เกี่ยวเลย หรือฟังเทศน์ทุกวัน ฟังซีดีหลวงพ่อทุกวัน แล้วจะได้โสดาบัน ไม่เกี่ยวเลย อยากได้โสดาบันจริงๆ อันแรกเลย ฝึกให้จิตมันตั้งมั่นขึ้นมาให้ได้ก่อน พอจิตมันตั้งมั่นแล้ว สติระลึกรู้อะไร อันนั้นจะแสดงไตรลักษณ์ให้หมด ไม่มีตัวเราทั้งหมดเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 18 กุมภาพันธ์ 2566

Direct download: 660218.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าหลักเราแม่น การภาวนามันจะไม่ยากหรอก อย่างบางคนจะทำสมาธิ ทำอย่างไรก็ไม่สงบ มันไม่รู้หลัก ไม่รู้เคล็ดลับ ไปเลือกอารมณ์กรรมฐานที่ไม่เหมาะกับตัวเอง ไปรู้อารมณ์อันนั้นแล้วก็ไม่ได้มีความสุข จิตใจที่ไปรู้ก็ถูกดัดแปลงให้มีโมหะบ้าง ให้เคลิ้มๆ อะไรอย่างนี้ ถ้าเรารู้หลักของการปฏิบัติ การปฏิบัติไม่ว่าสมถะหรือวิปัสสนาจะไม่ใช่เรื่องยาก สมถะเราเลือกอารมณ์ที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุข แล้วก็ต้องมีสติกำกับตลอด สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง แต่ต้องมีสติไว้ แล้วก็ทำกรรมฐานไปเรื่อยๆ ไม่นานจิตจะสงบ แล้วก็มีเรี่ยวมีแรง แล้วก็ไม่ขาดสติ สะสมไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่สติที่แท้จริงเกิดขึ้นมา สัมมาสมาธิก็จะเกิดด้วย พอสะสมไปเรื่อยๆ พลังของสมาธิมันจะเพิ่ม จิตมันจะรู้ ตื่น เบิกบานขึ้นมา มีแรง มันจะรู้ด้วยตัวเองเลยว่าจิตมันตื่นแล้ว จิตมันมีแรงแล้ว ถึงจุดนั้นเราถึงจะเดินปัญญาได้ดี ก่อนหน้านั้นยังไม่ได้จริงหรอก ทำวิปัสสนาไม่ได้จริง ถ้าจิตไม่มีกำลัง ไม่ตั้งมั่น หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กุมภาพันธ์ 2566

Direct download: 660212.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราพยายามรอบคอบ สังเกตจิตใจของเราอย่างซื่อตรง ระมัดระวัง ค่อยๆ สังเกตไป อะไรมาอยู่เบื้องหลังความคิดของเรา กุศลหรืออกุศล โลภหรือเปล่า โกรธหรือเปล่า หลงหรือเปล่า สังเกตไป ถ้าเราทำตรงนี้ได้ คำพูด การกระทำ การเลี้ยงชีวิตของเรา จะสะอาดหมดจดมากขึ้นๆ แล้วการที่เราคอยรู้เท่าทันความคิดของตัวเอง เราไม่คิดไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ แต่คิดไปด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ ขณะที่เราคอยรู้เท่าทันจิตใจตัวเองอย่างนั้นอยู่ สัมมาวายามะมันเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว เพราะเราอาศัยมีสติรู้เนื้อรู้ตัว อ่านจิตอ่านใจตัวเองไป พอความชั่วมันมาครอบงำความคิดเราไม่ได้ คำพูดเรามันก็ดี การกระทำของเรามันก็ดี การดำรงชีวิตของเราก็ดี แล้วทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นก็คือความเพียรชอบ ในขณะนั้นเรากำลังมีความเพียรละกิเลส ละอกุศลที่กำลังมีอยู่ แล้วก็ปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้เกิด ในขณะที่เรามีสติอ่านจิตใจตัวเองออก อะไรอยู่เบื้องหลังความคิดของเรา ขณะนั้นเรามีสติ กุศลเกิด กุศลที่ยังไม่เกิดก็เกิด ที่เกิดแล้วก็เกิดบ่อยขึ้น ชำนิชำนาญขึ้น หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 กุมภาพันธ์ 2566

Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

แนวทางของอริยสัจเป็นแนวทางที่เป็นแม่บท ถ้าการปฏิบัติเราพลาดจากหลักอริยสัจ ผิดแน่นอน หลักของอริยสัจก็คือ “ทุกข์ก็ให้รู้ สมุทัยให้ละ นิโรธทำให้แจ้ง มรรคทำให้เจริญ” ถ้าหลุดออกจากหลักนี้ก็ผิด หน้าที่ต่อทุกข์คือการรู้ แล้วได้รู้แล้ว 3 ข้อ สมุทัยคือตัวเหตุของทุกข์ ได้แก่ตัณหา หน้าที่ต่อตัณหาคือละเสีย แล้วก็ได้ละแล้ว นิโรธ คือความดับสนิทแห่งทุกข์ หน้าที่ต่อนิโรธไม่ได้ทำนิโรธให้เกิดขึ้น แต่ว่าเข้าไปเห็นนิโรธ เขาเรียกสัจฉิกิริยา เข้าไปประจักษ์เข้าไปเห็นแจ่มแจ้ง ในความจริงของความพ้นทุกข์ คือไปเห็นพระนิพพานนั้นเอง ฉะนั้นหน้าที่ต่อนิโรธคือการเห็น ถ้าเราปฏิบัติแล้ว เราได้เห็นแล้ว หน้าที่ต่อมรรคมีองค์ 8 ประการ ย่อลงมาเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หน้าที่ต่อมรรคก็คือการเจริญ ทำให้มาก ศีลต้องรักษา สมาธิต้องฝึก ฝึกจิตฝึกใจ เจริญปัญญาต้องทำ มรรคต้องทำให้เจริญขึ้น แล้วก็ได้เจริญแล้ว ถึงจะเรียกว่าเข้าใจธรรมะ นี่คือเส้นทางเดินของพระอริยเจ้าทั้งหลาย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 กุมภาพันธ์ 2566

Direct download: 660205.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

หลวงพ่อจะต่างกับครูบาอาจารย์ทั่วไป ส่วนใหญ่ท่านจะสอนให้เดินทีละก้าว เอ้า ไปพุทโธ พอสัก 3 ปีก็ค่อยมาว่ากันต่อ ซึ่งคนรุ่นนี้มันทำไม่ได้ ที่หลวงพ่อสอนมันเลยเป็นภาพทั้งกระดานเลย เหมือนเราดู GPS เราไม่ได้ดูเฉพาะหน้านี้ใช่ไหม เริ่มต้นเราก็ดูภาพรวมก่อน จากกรุงเทพฯ จะไปเชียงใหม่ มันจะไปทางทิศทางไหน มันจะเห็นภาพรวมก่อน แล้วค่อยลงรายละเอียด ฉะนั้นเวลาที่หลวงพ่อสอน หลวงพ่อจะสอนในระบบ GPS เห็นภาพกว้างๆ ก่อน แล้วก็มาลงรายละเอียดเป็นช็อตๆ ไป ถ้าบอกพวกเราบอกว่า “เดินไปทางนี้ เลี้ยวซ้ายไป เดินไปข้างหน้า 300 เมตรแล้วเลี้ยวซ้าย” มันก็จะสงสัย จะให้เราเลี้ยวไปไหน สันดานของคนรุ่นนี้ ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ หรอก จะฟุ้งซ่านง่าย ฉะนั้นถึงต้องบอกทั้งระบบ พอเข้าใจทั้งกระดานแล้ว ทั้งระบบ แล้วบอกไปทางนี้ มันถึงจะยอมไป นิสัยคนรุ่นนี้มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็สมาธิก็สั้นด้วย สั้นจุ๊ดจู๋เลย เพราะฉะนั้นใช้ขณิกสมาธิ หลงแล้วรู้ๆ ไว้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 4 กุมภาพันธ์ 2566

Direct download: 660204.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราสามารถสร้างความดีขึ้นในจิตใจเราได้ในทุกๆ สถานการณ์ ฉะนั้นที่บอกว่าเราไม่มีเวลาจะสร้างความดี ไม่มีเวลาปฏิบัติ เพราะยังไม่เข้าใจคำว่าปฏิบัติ ไปคิดว่าการปฏิบัติคือการนั่งสมาธิ เดินจงกรม หลวงพ่อบอกเลย หลวงพ่อภาวนามา นั่งสมาธิ เดินจงกรมพอประมาณเท่านั้น ทำทุกวันล่ะแต่ว่าไม่ได้ทำเยอะ ทำพอให้จิตใจมีเครื่องอยู่ มีที่อยู่ที่อาศัย มีกำลังขึ้นมา แล้วก็เจริญปัญญา ตรงที่เราทำงานอยู่นั้น เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ อย่างเวลาจะจัดประชุม เราต้องเตรียมข้อมูล เตรียมอะไรมากมาย หัวหมุนติ้วๆ เลย เราก็ดูใจไป ใจมันเบื่อ ใจมันร้อนรน กลัวจะทำไม่ทันอย่างนี้ ดูลงไปเลย เราได้ปฏิบัติอยู่แล้ว พองานเราเสร็จ เราก็รอเวลาประชุม เมมเบอร์มาไม่ครบเสียที ยืดเยื้อ เย็นนี้เราก็จะต้องมีธุระไปโน่นไปนี่ การประชุมก็ล่าช้า เลท เพราะว่าบางคนมันไม่มาง่ายๆ เถลไถล ไม่เคารพเวลาของคนอื่นอะไรอย่างนี้ ใจเรากลุ้มใจ รู้ ใจเราโมโห รู้ หลวงพ่อปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติอยู่ในชีวิตจริงๆ นี้ล่ะ การได้สมาธิไม่ใช่แค่นั่งสมาธิเดินจงกรมหรอก เรารู้จักวางจิตใจให้ถูกในทุกๆ สถานการณ์ นั้นล่ะ เราสามารถทำกุศลให้เกิดได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 มกราคม 2566

Direct download: 660129.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

ธรรมดาจิตเราวิ่งพล่านๆ ทั้งวัน เดี๋ยววิ่งไปคิด เดี๋ยววิ่งไปดู วิ่งไปฟัง วิ่งไปดมกลิ่น วิ่งไปลิ้มรส วิ่งไปรู้สัมผัสทางร่างกาย จิตมันวิ่งตลอดเวลา มันก็เหนื่อย หมดเรี่ยวหมดแรง คล้ายๆ ร่างกาย วิ่งๆ ไปเรื่อยๆ ก็หมดแรง ก็ต้องพัก จิตก็ต้องพักเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องหัดกรรมฐานที่เรียกว่าสมถกรรมฐาน พอพักพอสมควรมีเรี่ยวมีแรงแล้ว ก็ต้องออกไปทำมาหากิน ถ้าร่างกายพักพอสมควรมีแรงแล้ว ออกไปทำมาหากิน หาผลประโยชน์ จิตใจนี้ก็เหมือนกัน เราพักพอสมควรแล้ว ออกไปทำประโยชน์ ออกไปเจริญปัญญา นั่นล่ะหาของดีมาให้จิตใจ ปัญญามันเป็นอาหารชั้นเลิศของใจ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 มกราคม 2566

Direct download: 660128.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ต้องมาฝึกจิตให้มันตั้งมั่นจริงๆ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง จิตเคลื่อนไปไหนก็รู้ จิตหลงไปคิดก็รู้ จิตถลำลงไปเพ่งก็รู้ รู้อย่างนี้เยอะๆ จิตมันจะค่อยตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา คราวนี้ไม่ได้เจตนาเลย แล้วพอจิตมันตั้งมั่น สติระลึกรู้กาย เห็นเลยกายไม่ใช่เรา ระลึกรู้เวทนา เวทนาไม่ใช่เรา ระลึกรู้สังขาร สังขารไม่ใช่เรา สุดท้ายก็ระลึกรู้จิต จิตก็ไม่ใช่เรา หรือถ้าชำนาญจริง สมาธิพอ ดูโลกข้างนอก จักรวาลข้างนอก คนอื่นๆ ตัวเรา ร่างกาย จิตใจนี้ มันอันเดียวกัน มันก็คือวัตถุ มันคือก้อนธาตุอันเดียวกันนั่นล่ะ เหมือนกันหมด เสมอกันหมด มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เสมอกันหมด หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 มกราคม 2566

Direct download: 660122.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

1 « Previous 3 4 5 6 7 8 9 Next » 67