เรียนธรรมะ เราเรียนลงที่กายที่ใจ ไม่ได้ไปเรียนที่อื่นหรอก ธรรมะไม่ได้อยู่กับคนอื่นด้วย ไม่ได้อยู่ที่ครูบาอาจารย์ ไม่ได้อยู่ในวัด อยากเรียนธรรมะก็เรียนลงที่กายที่ใจ ค่อยๆ แยกออกมาแล้วก็ดูละเอียดลงไป ทุกสิ่งทุกส่วนที่เราแยกออกไป ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เฝ้าดูลงไป แยกๆๆ สิ่งที่เรียกว่าเรานี้ สุดท้ายจะพบว่าเราไม่มี มันมีแต่ขันธ์ มีแต่รูปธรรมนามธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 4 มิถุนายน 2565

Direct download: 650604.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราชาวพุทธ ขั้นต่ำสุดต้องรักษาศีลให้ได้ เอะอะจะเจริญปัญญาอะไรอย่างนี้ แต่ศีลไม่มีสมาธิมันก็ไม่มี สมาธิไม่มีปัญญามันก็ไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเรื่องใหญ่ ต้องเรียน การเรียนไม่ใช่เรียนด้วยการอ่าน การฟังอย่างเดียว ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ปฏิบัติอะไรบ้าง ปฏิบัติศีล ต้องตั้งใจรักษา แล้วก็ต้องปฏิบัติสมาธิ สมาธิมี 2 อย่าง สมาธิที่จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว กับสมาธิที่จิตตั้งมั่นเห็นสภาวะทั้งหลายแสดงไตรลักษณ์ รูปธรรมก็แสดงไตรลักษณ์ นามธรรมก็แสดงไตรลักษณ์ ต้องเห็น หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 พฤษภาคม 2565
Direct download: 650529.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราก็สามารถเป็นพระอริยบุคคล ทั้งๆ ที่ยังอยู่กับลูกกับเมียอย่างนี้ก็อยู่ได้ อยู่กับสามียังอยู่ได้ อย่างนางวิสาขาหรืออนาถบิณฑิกะ เขาก็เป็นพระอริยบุคคล เขาก็อยู่กับครอบครัวของเขาได้ ทำมาหากินได้ ฉะนั้นความเป็นพระแท้ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบหรอก แต่อยู่ที่จิตของเรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญามากพอไหม มันจะมากพอถ้าเราสะสม ฝึกของเราทุกวันๆ ตั้งอกตั้งใจฝึก แล้ววันหนึ่งเราจะรู้เลยพระสงฆ์อยู่ที่ไหน พระสงฆ์อยู่ที่ใจที่สะอาดนี่เอง สะอาดหมดจดขึ้นมาเป็นลำดับๆ ไป พระธรรมก็ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลยอยู่ที่จิตอันนี้เอง เป็นผู้สัมผัสธรรมะ กระทั่งธรรมะสูงสุดคือพระนิพพาน จิตนั่นล่ะเป็นผู้สัมผัส เราจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าจริงๆ อยู่ที่ไหน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650528.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักธรรมะ คิดว่าเข้าวัดต้องไปไหว้โน้นไหว้นี้ เพราะชีวิตมันไม่มีที่พึ่ง แต่พวกเรามีโอกาสได้เรียนธรรมะแล้ว เรารู้วิธีที่จะฝึกจิตตัวเอง เราสามารถอยู่กับโลกได้โดยมีความทุกข์น้อยๆ ไม่ถึงขั้นอยู่กับโลกแล้วไม่ทุกข์เลยหรอก ถ้าภาวนาจริงจังอันนั้น จิตพ้นโลกไปแล้ว ถึงจะพ้นทุกข์จริงๆ มาหัดภาวนา ภาวนาปฏิบัติ เจริญสติ รักษาศีล สร้างสมาธิ เจริญปัญญาไป เวลาผ่านไปช่วงหนึ่งจะพบความแตกต่าง เราจะรู้สึกเลยว่าคนในโลกน่าสงสาร คนในโลกมันอยู่ในความมืดบอด เราไม่ได้ดูถูกเขา แต่ใจมันสงสาร แล้วก็นึกเมื่อก่อนเราก็เป็นอย่างนี้ล่ะ ดีว่าเราได้พบธรรมะของพระพุทธศาสนา เราก็ลงมือปฏิบัติ เราก็สะอาดหมดจดมากขึ้นๆ ทุกข์น้อยลงๆ อันนี้เราจะรู้ได้ด้วยตัวเอง เราเคยทุกข์นานๆ ก็ทุกข์สั้นลง เคยทุกข์หนักๆ ก็ทุกข์เบาๆ ทุกข์นิดๆ หน่อยๆ ใจมันเปลี่ยน ซึ่งเรารู้ได้ด้วยตัวเอง มันเห็นด้วยตัวเองได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650522.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

คนจะปฏิบัติละเลยการรักษาศีลไม่ได้ ถ้าศีลด่างพร้อยเมื่อไรจิตก็เศร้าหมองทันที ความชั่วแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าทำ ศีล 5 รักษาเอาไว้ ศีล 5 มีประโยชน์มาก อย่างน้อยเราก็ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แล้วก็ไม่เบียดเบียนตัวเอง ใจที่ไม่เบียดเบียนใจมันร่มเย็น สมาธิมันก็เกิดง่าย สมาธิไม่ใช่แปลว่าสงบ มันเป็นภาวะที่จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้ามีสมาธิมากพอ จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวโดยไม่ต้องจงใจทำขึ้นมา ไม่ต้องรักษา มันเป็นอัตโนมัติ สติก็อัตโนมัติ สมาธิก็อัตโนมัติ ปัญญาสุดท้ายก็อัตโนมัติ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 21 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650521.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

อริยสัจเป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของธรรมะเลย ครอบคลุมธรรมะทั้งหมดเอาไว้ได้ ในเรื่องของอริยสัจ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบ บอกอริยสัจเทียบเหมือนรอยเท้าช้าง ยุคนั้นไม่มีไดโนเสาร์แล้ว ช้างใหญ่ที่สุด ท่านบอกรอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย มันไปบรรจุอยู่ในรอยเท้าช้างได้ เล็กกว่ารอยเท้าช้าง ธรรมะทั้งหมดก็ประมวลลงอยู่ในอริยสัจได้ เจ้าชายสิทธัตถะท่านสาวลงมาจนถึงอวิชชา ความไม่รู้แจ้งอริยสัจ ท่านก็รู้เลย โอ้ ถ้ารู้แจ้งอริยสัจเสียตัวเดียว สังสารวัฏก็ถล่มลงต่อหน้าต่อตาเลย ความเวียนว่ายตายเกิดไม่มีอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านค้นพบในตอนใกล้ๆ สว่างแล้ว ท่านค้นพบแล้วท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธะขึ้นมา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650515.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 9:00am +07

บางคนก็มองพระภาวนาดีทำไมสมองเสื่อม สมองเสื่อมขาดสติ มองไปเลยไม่ใช่พระแท้ สมองเสื่อมได้ ขาดสติได้ พวกนี้ไม่แยกแยะ สมองมันเป็นตัวรูปอยู่ในรูปธรรม รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง สัญญาเที่ยงไหม จำไม่ได้ สัญญาไม่เที่ยง สังขาร ความปรุงดีปรุงชั่ว สังเกตไหมว่าคนไปโวยวายใส่ท่าน ท่านยังไม่ปรุงชั่วเลย ไม่ได้เป็นอะไรเลย พระพุทธเจ้าท่านแก่ไหม ท่านเจ็บไหม ท่านตายไหม นั่นพระพุทธเจ้านะ ท่านก็แก่ ท่านก็เจ็บ ก็ตาย มันเรื่องของขันธ์ แยกไม่ออกว่าจิตที่มันพ้นขันธ์ไปแล้ว กับขันธ์มันคนละเรื่องกัน สิ่งที่สมบูรณ์คือท่านภาวนา สมมติว่าท่านจบ ท่านรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ จิตท่านไม่เข้าไปยึดไปถืออะไรอีกแล้ว โดยไม่ต้องระวังไม่ต้องรักษา สติอะไรพวกนี้มันอัตโนมัติ แต่มันไม่ใช่สติ ไม่ใช่ความจำสัญญาอย่างโลกๆ นั่นเป็นเรื่องของขันธ์ สังเกตไหมคนโวยวายตั้งเยอะแยะ มาล้อมหน้าล้อมหลังจะมาเล่นงานท่าน ยืนค้ำศีรษะท่านตวาดแว้ดๆ ด่าหยาบคาย ท่านเฉยท่านไม่ต้องรักษาจิตของท่าน ธรรมะมันรักษาจิตของท่านเอาไว้เอง ส่วนเรื่องความจำ บางทีแก่มากๆ ก็จำไม่ได้ สมองมันเสื่อม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650514.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเราไม่มีโอกาสจะบวช อาจจะเพราะว่าไม่พร้อมที่จะบวช มีภารกิจทางโลก ยังบวชไม่ได้ หรือไม่มีภารกิจ แต่ยังหาที่บวชด้วยความเต็มใจไม่ได้ ไม่สบายใจที่จะบวช หาไม่ได้ทำอย่างไร อย่างผู้หญิงจะไปบวชภิกษุณี มันก็ไม่มีจริง ไปบวชชีแต่ละวัด เขาก็ขยาด หาที่อยู่ยาก มันมีเงื่อนไขที่เราบวชไม่ได้ เราฝึกตัวเอง บวชใจเราให้ได้ ตั้งใจรักษาศีล ศีล 5 ศีล 8 ถือเข้าไปเถอะ เท่าที่ทำได้ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น อย่างบางคนสุขภาพไม่อำนวย ถือศีลอดข้าวเย็น แล้วทำงานหนักทั้งวันเลย ตกเย็นไม่กินข้าวอีก ไม่นานโรคกระเพาะก็ถามหา ฉะนั้นดูสภาพเราที่ทำได้จริงๆ ทำแล้วไม่เข้าข่ายอัตกิลมถาลิกานุโยค ทรมานตัวเอง แต่ไม่ใช่ปรนเปรอตัวเองตามใจชอบ มีวินัยในตัวเอง อยู่บ้านก็ภาวนาของเราไป ฆราวาสก็ทำมรรคผลได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 พฤษภาคม 2565
Direct download: 650508.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าตั้งใจรักษาพระวินัย ธรรมวินัยก็จะรักษาเรา ถ้าไม่รักษาตัวเองก็เอาตัวไม่รอด แล้วจะไปรักษาพระศาสนาได้อย่างไร ตัวเองยังรักษาไม่ได้เลย เรื่องของเรื่องทั้งหมดนั้นก็คือเรื่องของกิเลสนั่นล่ะ ถ้ายังไม่เห็นโทษไม่เห็นภัยของกิเลส ยังลดละกิเลสไม่ได้ มันก็พร้อมจะพลาด ถึงเราเป็นฆราวาสก็เหมือนกัน ต้องรักษาศีล 5 ไว้ ถ้าศีล 5 เรายังรักษาไม่ได้ เราก็เริ่มเบียดเบียนคนอื่น เบียดเบียนตัวเราเองเพราะไม่มีศีล รักษาศีล 5 ไว้ก็ช่วยตัวเองได้เยอะเลย ฉะนั้นศีลเป็นเครื่องป้องกันตัวทั้งพระทั้งโยม ต้องรักษาศีลเอาไว้ ถ้าศีลเราไม่ดีสมาธิเราก็เสื่อม สมาธิเสื่อมปัญญาก็ไม่เกิด หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650507.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ไปฝึกเอา องค์ธรรม 10 ประการนี้ ที่เราต้องฝึกก็คือศีล สมาธิ ปัญญา องค์ธรรมที่หก เจ็ด แปด หลังจากนั้นวิมุตติจะเกิดเอง วิมุตติญาณทัสสนะจะเกิดเอง แต่ก่อนที่ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิด มีองค์ธรรม 5 ประการ มักน้อย สันโดษ ฝักใฝ่ในความสงบ ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร ถ้าทำได้อย่างนี้ ศีล สมาธิ ปัญญาจะงอกงาม อดทน พากเพียรไป หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650501.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เริ่มต้นก็ถือศีล 5 แล้วค่อยพัฒนาขึ้นมาจนกระทั่งจิตตั้งมั่น ด้วยการมีวิหารธรรมแล้วรู้ทันจิตไป ถัดจากนั้นเวลาสติระลึกรู้ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของรูปของนาม จิตตั้งมั่นเป็นแค่คนรู้คนดูอยู่ มีสมาธิมันก็จะเห็นความจริงของรูปนาม ว่ามันตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เฝ้าดูเฝ้ารู้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งแล้วมรรคผลมันเกิดเองล่ะ ไม่มีใครทำมรรคผลให้เกิดได้ เกิดเองเมื่อศีล สมาธิ ปัญญาของเราสมบูรณ์แล้ว หลวงพ่อเทศน์ให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ฉะนั้นจุดตั้งต้นทำให้ได้ก่อน ศีล 5 ไม่เบียดเบียนคนอื่นด้วยกาย ด้วยวาจาของเรา ไม่เบียดเบียนตัวเองด้วยการทำลายสติสัมปชัญญะของตัวเอง ทำลายสติไปแล้ว สัมปชัญญะความรู้เหตุรู้ผลอะไรไม่มี ฉะนั้นรักษาตัวเองให้ดี ให้ได้ศีล 5 ไว้ก่อน ศีล 5 ไม่ได้อย่างอื่นก็ล้มเหลวหมด หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 30 เมษายน 2565

Direct download: 650430.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ข้อที่หนึ่ง อย่าอยากรู้แล้วเที่ยวแสวงหาว่าตอนนี้จิตเป็นอย่างไร ให้ความรู้สึกเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยรู้ว่ามันรู้สึกอะไร กฎข้อที่สอง ระหว่างรู้ อย่าถลำลงไปรู้ จิตต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตผู้รู้ก็ต้องอาศัยการฝึกอย่างที่ว่า ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิตที่มันหลงไปไหลไป กฎข้อที่สามของการดูจิตก็คือ อย่าเข้าไปแทรกแซงสภาวะ ความสุขเกิด ไม่ต้องไปหลงยินดีมัน ถ้าหลงยินดีให้รู้ทัน ความทุกข์เกิด ไม่ต้องไปยินร้าย ถ้ายินร้ายเกิด ให้รู้ทัน จิตมันจะเป็นกลาง ตั้งมั่น มันมาในขั้นที่สอง ต้องตั้งมั่นแล้ว ขั้นที่สาม รู้ซื่อๆ คือขั้นของความเป็นกลาง เพราะฉะนั้นเวลาสภาวะใดๆ เกิดขึ้น แล้วจิตยินดีให้รู้ทัน จิตยินร้ายให้รู้ทัน จิตก็จะเป็นกลางต่อสภาวะทั้งหลายทั้งปวง เพราะฉะนั้นหลวงพ่อถึงสรุปการปฏิบัติเอาไว้ในประโยคสั้นๆ “ให้เรามีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 เมษายน 2565
Direct download: 650424.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

บางคนยังไม่ได้ภาวนาใจสบายเป็นธรรมดา พอจะดูจิตเริ่มจ้องแล้ว เครียดแล้ว จะดูตรงไหนดี ไม่เห็นว่าใจกำลังโลภ ใจกำลังฟุ้งซ่าน สภาวะเกิดแล้วไม่เห็น ใจก็เครียดขึ้นมา หรือบางคนเห็นโทสะ โทสะเกิดขึ้นใจไม่ชอบ ไม่เห็นว่าใจไม่ชอบ มีน้ำหนักเกิดขึ้น ใจเครียด ฉะนั้นน้ำหนักที่เกิดขึ้นในใจ เป็นดัชนีชี้วัดได้ว่าเรารู้เป็นธรรมชาติไหม หรือรู้แบบมีตัณหาแทรกเข้ามา ถ้ารู้อย่างเป็นธรรมชาติจะไม่มีน้ำหนักเกิดขึ้นในใจ ลองไปดู น้ำหนักที่เกิดขึ้นในใจเรานี้ก็ไม่คงที่ เดี๋ยวหนักมาก เดี๋ยวหนักน้อย เวลาจิตเราชั่วๆ ก็หนักมาก เวลาจิตเราเป็นกุศลก็หนักน้อยหน่อย เวลาเราอยากดีลงมือปฏิบัติ บังคับกายบังคับใจก็หนักเยอะหน่อย ถ้าเห็นกายเห็นใจมันทำงาน แต่มีความจงใจจะไปเห็นก็หนักน้อยหน่อย มีแต่หนักมากกับหนักน้อยในใจ ตรงนี้จริงๆ ก็แสดงธรรมะ จิตนี้เดี๋ยวก็หนักมาก เดี๋ยวก็หนักน้อย สั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้ ดูอย่างนี้ก็เดินปัญญาได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 เมษายน 2565

Direct download: 650423.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ ตั้งใจเสียใหม่ แทนที่จะสนใจแต่คนอื่น สนใจแต่สิ่งอื่น หันมาสนใจร่างกาย จิตใจของตัวเองบ้าง สะสมความรู้ถูก ความเข้าใจถูก ในร่างกายในจิตใจของตัวเองให้มากๆ เราดูของจริง สิ่งที่เกิดล้วนแต่ดับ ดูไป ไม่ใช่เรื่องยาก ในที่สุดปัญญามันก็จะเกิด มันก็จะรู้เลย ทุกสิ่งมันของชั่วคราว สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา รู้ตรงนี้เป็นพระโสดาบันได้ ไม่ยากหรอก มันยากที่ไม่ยอมรู้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 17 เมษายน 2565

Direct download: 650417.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

อย่างพวกเรามีโอกาสเจอศาสนาพุทธแล้ว ถ้าไม่รู้จักตักตวงผลประโยชน์จากศาสนาพุทธ คือการเรียนรู้สัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ถ่องแท้ เรียกว่าเราประมาท เพราะศาสนาพุทธจะสูญไปเมื่อไร ไม่รู้ ปกติไม่ยั่งยืนเท่าไรหรอก มันเป็นศาสนาที่เข้าใจยาก ศาสนาที่ต้องช่วยตัวเอง คนส่วนใหญ่อ่อนแอไม่ได้คิดจะช่วยตัวเอง คิดจะขอพรขออะไรไป ฉะนั้นอย่าประมาท มีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมะแล้ว ลงมือปฏิบัติ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 เมษายน 2565
Direct download: 650416.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เรียนรู้ความจริง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ทั้งหลาย อารมณ์ทั้งหลายที่คนโง่คนเขลาใฝ่หา แสวงหา ฆ่าฟันทำร้ายกันเพื่อแย่งอารมณ์ที่ดี เพื่อจะผลักไสอารมณ์ที่ไม่ดี แล้วตกเป็นทาสของอารมณ์ทั้งหลาย ถ้าเราภาวนาเราก็รู้ ของชั่วคราวเท่านั้นเอง ของชั่วขณะจิตหนึ่งเท่านั้นเอง สั้นนิดเดียว เดี๋ยวก็ไปแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้ ความอยากมันจะไม่เกิด ตรงที่เราเห็นความจริงนั่นล่ะ เรียกว่าเรามีปัญญา มีวิชชาตัณหามันก็ไม่เกิด ถ้ามีอวิชชา ไม่รู้ความจริง ตัณหามันก็เกิด ฉะนั้นวิธีที่เราจะละตัณหา คือรู้ความจริงลงไป รู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 เมษายน 2565
Direct download: 650410.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ก่อนที่จะถึงคำว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น” ต้องรู้ว่าเราไม่ยึดเพราะเห็นทุกข์ ไม่เห็นทุกข์ก็ยังยึดอยู่นั่นล่ะ จะเห็นทุกข์ก็ต้องดูกาย มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง คือมีสมาธิที่ดี ตั้งมั่นและเป็นกลาง นี่เรื่องของสมาธิ สติเป็นตัวรู้ทันว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกายในใจ แต่รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง คือจิตที่ทรงสมาธิที่ถูกต้องอยู่ ปัญญามันถึงจะเกิด มีปัญญาก็ไม่ใช่เพื่อจะมีปัญญา มีปัญญาเพื่อจะได้เห็นทุกข์ แล้วจิตมันถึงจะปล่อยวางของมันเอง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 เมษายน 2565
Direct download: 650409.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

ความดับทุกข์เขาเรียกตัวนิโรธ มี 5 ระดับ เป็นความดับด้วยสมถกรรมฐาน ดับด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ดับด้วยอริยมรรค ดับด้วยอริยผล แล้วก็นิพพาน สมถกรรมฐานดับตัวนิวรณ์ นิวรณ์เป็นตัวกั้นความเจริญทางจิตใจของเรา จิตมันทรงสมาธิขึ้นมา ก็ข่มนิวรณ์ไว้ชั่วคราว วิปัสสนาต้องเห็นไตรลักษณ์ เราเห็นไตรลักษณ์ของรูปของนามไปอย่างนี้ มันก็จะดับความเห็นผิด วิปัสสนามันสร้างให้เกิดตัวปัญญา พอเราเจริญวิปัสสนามากๆ ในที่สุดจิตมีกำลังขึ้นมา เกิดอริยมรรคขึ้นมา มันเกิดเองเมื่อศีล สมาธิ ปัญญาของเราสมบูรณ์ อริยมรรคมันขึ้นมาเพื่อดับกิเลส ถ้าล้างด้วยอริยมรรคจะล้างเด็ดขาด ไม่กลับมาอีกแล้วกิเลสตัวนั้น ละสังโยชน์ 3 ตัว สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ตัวที่สี่คืออริยผล อริยผลไม่มีการดับอะไรแล้ว มันดับที่ตัวมรรค อันนี้ตรงที่ดับคือการไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่ามันมีขึ้นมาแล้วไปดับมัน มันไม่มีงานอะไรต้องทำ แล้วนิโรธตัวที่ห้าจริงๆ คือนิพพาน จิตที่เราเข้าไปสัมผัส เข้าไปทรงพระนิพพาน มันดับ มันดับความไม่รู้ ความไม่เข้าใจอริยสัจ คือดับอวิชชา ดับตัณหา ดับอุปาทาน ดับภพ ดับชาติ ดับทุกข์ไป สิ่งเหล่านี้เดี๋ยวพวกเราก็เจอ ตอนนี้เรียน 2 ตัวแรกให้แตกฉาน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 เมษายน 2565

Direct download: 650403.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

อันแรกก็ถือศีล 5 อันที่สอง ทำในรูปแบบให้จิตใจได้พักผ่อน ฝึกตัวเองไป อันที่สาม คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน พอใจมีกำลังแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์มีสติไว้ เกิดความเปลี่ยนแปลงในจิต รู้ เกิดความเปลี่ยนแปลงในกาย รู้ รู้ไปเรื่อยๆ เห็นกายไป เห็นจิตไป ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นไตรลักษณ์ของกาย เห็นไตรลักษณ์ของจิต การปฏิบัติทำให้ครบ 3 อย่างนี้ ศีล 5 ต้องรักษา ตั้งใจงดเว้นการทำบาปอกุศลทางกาย วาจา 5 อย่าง สมาธิต้องฝึก ทำในรูปแบบทุกวัน แบ่งเวลาไว้เลย เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในกาย รู้สึก มีอะไรเปลี่ยนแปลงในจิตใจ รู้สึก ค่อยฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยววันหนึ่งเราก็จะเห็นความจริงของกายของใจ เห็นได้ก็วาง วางได้ก็ไม่ทุกข์ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 เมษายน 2565
Direct download: 650402.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การที่เรามีสติ ภาวนาไปเรื่อยๆ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะสมบูรณ์ในขณะเดียวกันๆ พร้อมๆ กัน ตรงที่ศีล สมาธิ ปัญญาอัตโนมัติเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน ถ้าบุญบารมีมากพอ สะสมมามากพอ อริยมรรคจะเกิดขึ้น เพราะในอริยมรรคมีศีลอัตโนมัติ สมาธิอัตโนมัติ ปัญญาอัตโนมัติอยู่ มันเกิดพร้อมกันในขณะจิตเดียวกัน เพราะฉะนั้นฝึกทุกวันๆ ต้องทำให้ต่อเนื่อง จิตจะได้ทรงสมาธิที่ดีขึ้นมา สามารถเดินปัญญาได้ สุดท้ายศีล สมาธิ ปัญญาก็ประชุมลงที่จิตดวงเดียว ในขณะจิตเดียว มันคือขณะแห่งอริยมรรค หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 มีนาคม 2565
Direct download: 650327.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ตอนที่ภาวนาใหม่ๆ รู้สึกจิตผู้รู้มันเป็นตัวสุข จิตผู้หลงมันเป็นตัวทุกข์ จิตยังมี 2 อัน ตัวสุขกับตัวทุกข์ ภาวนาจนถึงจุดหนึ่งจะแจ้งเลย จิตนั้นล่ะคือตัวทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย กายนี้คือตัวทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ไม่มีตัวสุข อันนั้นเรียกว่าเรารู้ทุกข์จริงๆ แล้ว พอรู้ทุกข์จริงๆ มันจะวางเลย จะวางจริงๆ วางวัฏฏะลงไป วัฏสงสารถล่มลงตรงนั้น ตรงที่รู้แจ้งในกองทุกข์ของขันธ์ 5 นั้น หรือของอายตนะ 6 หรือของธาตุ 18 ของอินทรีย์ 22 ก็จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท สิ่งที่เรานึกว่ามี มันแค่การประชุมกันขององค์ธรรมจำนวนมาก อยู่ชั่วคราวก็แตกสลายออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวไปหมดเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 มีนาคม 2565

Direct download: 650326.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ให้เวลากับการภาวนาของเราให้มากๆ หน่อย ศึกษาธรรมะ มันเป็นศาสตร์อันหนึ่ง ต้องลงมือปฏิบัติ ศาสตร์อันนี้ท่องจำเอาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เราท่องตำรับตำราได้เยอะ กิเลสไม่กลัวความรู้ทั้งหลาย กระทั่งความรู้ในธรรมะที่เล่าเรียน กิเลสกลัวคนรู้ทัน กิเลสมันอยู่ที่จิต ต้องเรียนรู้ให้ถึงจิตถึงใจ พอเราเห็นมัน มันถึงจะกลัวเรา เราไม่เห็นมัน มันก็แอบอยู่ในใจเรา เป็นเจ้านายเรา ตกเป็นทาสโดยไม่รู้สึกตัว หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 มีนาคม 2565

Direct download: 650320.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

อยู่กับโลกไปเห็นโลกมันทุกข์ เห็นขันธ์มันทุกข์ บางทีขันธ์ก็เรียกว่าโลกนั่นล่ะ โลกข้างนอกมันก็ทุกข์อย่างนี้ เจริญแล้วเสื่อมๆ โลกภายในก็เจริญแล้วเสื่อมเหมือนกัน สุดท้ายจะเห็นความจริง ภายนอกหรือภายในมันก็อันเดียวกัน ก็โลกเหมือนกัน พอรู้โลกแจ่มแจ้งจิตก็วางโลก ไม่มีอะไรโลกนี้ จะโลกภายในก็คือกายนี้ใจนี้ หรือโลกภายนอกกายคนอื่นใจคนอื่น หรือสิ่งแวดล้อมทั้งหลายทั้งปวง มันก็เป็นอันเดียวกัน ไม่ใช่ของเรา เกิดแล้วก็ดับไป มีแล้วก็หายไป แล้วใจเข้าใจโลก ใจก็อยู่เหนือโลก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 มีนาคม 2565

Direct download: 650319.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การเจริญปัญญาคือการทำลายล้างกิเลส ศีลเป็นแค่หนีเข้าป้อม กิเลสมันเข้มแข็งเราสู้ไม่ไหว หนีมัน ช่วงไหนมีสมาธิเราก็ผลักกิเลสถอยไป ช่วงไหนสมาธิเราตกกิเลสก็รุกเข้ามาอีก ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ช่วงที่จะเผด็จศึกนี่คืองานเจริญปัญญา ฉะนั้นเราเตรียมกองทัพของเราให้พร้อม คือเตรียมจิตใจของเราให้มีสติให้มีสมาธิให้มากๆ แล้วเราถึงจะเจริญปัญญาได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 กุมภาพันธ์ 2565
Direct download: 650225.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ตัวสำคัญคือตัวจิต จิตนี้เดี๋ยวก็โคจรไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับทางอายตนะทั้ง 6 จิตก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ฉะนั้นถึงจะเริ่มจากการรู้รูป สุดท้ายมันก็เข้ามาที่จิตจนได้ แต่ถ้าเราลัด เข้ามาที่จิตได้ เข้ามาเลย ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมค้อม เข้ามาที่จิต ถ้าเราเห็นว่าจิตไม่ใช่เราอันเดียว ขันธ์ 5 ทั้งหมดจะไม่เป็นเราแล้ว อายตนะทั้งหมดจะไม่เป็นเราแล้ว เล่นมันที่หัวโจกตัวเดียวเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 มีนาคม 2565

Direct download: 650313.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

1 « Previous 7 8 9 10 11 12 13 Next » 68