เราภาวนาเราจะรู้เลย จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปทั้งวันทั้งคืน ดับแล้วมันมีพลังงาน มีวิบาก ยังผลักดันให้เกิดจิตดวงใหม่ขึ้นมาได้ ฉะนั้นมันไม่ใช่ตายแล้วสูญ วิบากกรรมส่งผลให้เกิดขันธ์ใหม่ในภพใหม่ขึ้นมา ขันธ์ใหม่ในภพใหม่เหมือนกับเป็นลูก กระทั่งจิตดวงต่อไปเหมือนเป็นลูกของจิตดวงเก่า จิตมันมีมรดก จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้น ก็รับมรดกมาจากจิตที่เป็นพ่อเป็นแม่ของมัน จิตดวงเก่าทำกุศลไว้เยอะก็คล้ายๆ เป็นเศรษฐี วิบากให้ผลไปเกิดจิตดวงใหม่ขึ้นมา เหมือนมีลูก ลูกก็พลอยเป็นเศรษฐีไปด้วย จิตดวงเก่าทำบาปมาเยอะ บุญไม่ได้ทำ ทำแต่กรรมชั่ว ก็เหมือนจิตดวงใหม่เกิดมา เป็นลูกของจิตดวงเดิมนี้ ลำบากยากจน ชีวิตลำบาก ฉะนั้นจิตนี้เกิดดับสืบเนื่อง กระทั่งการข้ามภพข้ามชาติ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 มีนาคม 2565

Direct download: 650312.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

กิจต่ออริยสัจจะชัดเจนอยู่ ตัวทุกข์เป็นตัวผลของตัณหา ละไม่ได้ การละไปละที่ผลไม่ได้ ต้องละที่เหตุ ฉะนั้นท่านบอกทุกข์ก็ให้รู้ว่ามันทุกข์ สมุทัยคือตัณหาให้ละเสีย นิโรธก็เหมือนกัน นิโรธเป็นผล อยู่ๆ เราไปทำผลขึ้นมาไม่ได้ เราต้องทำเหตุคือศีล สมาธิ ปัญญา หรือการเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 เราเจริญแล้ว ในที่สุดก็ได้ผลคือนิโรธ อยู่ๆ เราไปทำผลไม่ได้ เราต้องทำเหตุ เหตุคือมรรคต้องเจริญ ถ้าฝ่ายชั่ว เหตุคือตัณหา ต้องละ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 มีนาคม 2565

Direct download: 650306.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การเรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจ เรามีสติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม มีปัญญาเข้าใจความเป็นจริงของรูปธรรมนามธรรม ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จะเข้าใจได้จิตต้องตั้งมั่น มีสมาธิที่ถูกต้อง จิตเป็นแค่คนดู ร่างกายนี้ถูกดู จิตเป็นคนดู อย่างนี้เรียกเรามีจิตตั้งมั่น พอเห็นความจริง กายนี้คือทุกข์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นทุกข์ มันจะค่อยๆ ปล่อย ปล่อยเป็นลำดับๆ ไป ปล่อยกายก่อนเพราะมันหยาบมันดูง่าย แล้วสุดท้ายมันก็ไปปล่อยจิตอีกทีหนึ่ง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 มีนาคม 2565
Direct download: 650305.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 9:30am +07

Direct download: 650212_T2_.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 8:00pm +07

Direct download: 650212_T1_.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

เวลามีเวลาว่าง 5 นาที 2 นาที 3 นาทีอะไรอย่างนี้ อย่าทิ้งเปล่าๆ อยู่กับเครื่องอยู่ของเราไป อยู่ก็เหมือนอยู่บ้าน อยู่สบายๆ ไม่ได้อยู่คุก เวลาจิตต้องการไปรู้อารมณ์อื่นๆ มันจะไหลไป ส่วนใหญ่ก็ไหลไปคิด ให้เรามีสติรู้ทัน ฝึกอย่างนี้มากๆ มากที่สุดที่จะมากได้ มีนาทีหนึ่งก็ฝึกนาทีหนึ่ง มี 5 นาทีก็ฝึก 5 นาที 10 นาทีก็เอา เก็บเล็กเก็บน้อยทั้งวัน ถ้าทั้งวันจิตเราออกข้างนอก ไม่เคยกลับบ้าน คือทิ้งวิหารธรรมไป จิตหนีไปตลอด ตกเย็นจะไปนั่งภาวนา ไปเดินจงกรม ทำไม่ได้ มันฟุ้งซ่าน เพราะมันฟุ้งมาทั้งวันแล้ว จิตมันก็เหนื่อย พอจิตเหนื่อย พอไปนั่งสมาธิ ก็นั่งหลับ หรือบางคนมันฟุ้งแล้วมันยังฟุ้งได้ไม่ถึงใจ พอนั่งสมาธิมันก็ฟุ้งต่อ ฉะนั้นถ้าเรามีวินัยในตัวเอง เราไม่ทิ้งเวลาเปล่าๆ มี 5 นาที 10 นาทีอะไร เก็บให้หมดเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 กุมภาพันธ์ 2565

Direct download: 650227.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 11:00am +07

สิ่งทั้งหลายที่เรารู้เราเห็นเรียกว่าอารมณ์ อารมณ์มี 2 ส่วน อารมณ์หนึ่งเป็นสภาวธรรม อีกส่วนหนึ่งไม่ใช่สภาวธรรม เป็นเรื่องสมมติบัญญัติ ไม่มีสภาวะรองรับ อย่างเรื่องราวที่เราคิดอาศัยความจำ อาศัยความคิด คิดทั้งวัน คิดทั้งคืน ก็คิดไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดตั้งต้น ไม่มีจุดที่สุด ไม่เห็นว่าจะมีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ไหนเลย ถึงคิดเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็แค่ความคิด ฉะนั้นเรื่องราวที่คิดขึ้นมา ท่านเรียกอารมณ์บัญญัติ อารมณ์บัญญัติไม่จัดว่าเป็นสภาวธรรม อารมณ์ที่เป็นสภาวธรรมมันมี 3 อย่าง คือรูปธรรม รูปที่จิตไปรู้เข้าเป็นอารมณ์ เรียกอารมณ์ปรมัตถ์ เป็นอารมณ์จริงๆ เป็นของมีจริง มีไตรลักษณ์ เวลาดูที่จะเจริญปัญญา ต้องเห็นสภาวธรรมซึ่งเป็นปรมัตถธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 กุมภาพันธ์ 2565

Direct download: 650226.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 11:00am +07

ค่อยภาวนาถึงจุดหนึ่ง เราจะพบว่าความปรุงแต่งทั้งหลายคือทุกข์ พอรู้แล้ว ปัญญามันแก่รอบ มันก็ไม่เอาแล้ว ความปรุงแต่ง จะปรุงชั่ว จะปรุงดี หรือพยายามจะไม่ปรุง มันก็คือปรุง ก็คือทุกข์ทั้งหมด พอจิตมันพ้นจากความปรุงแต่ง มันก็เข้าถึงความสุขที่อยู่เหนือความปรุงแต่ง ความสุขของความสงบ ความสุขของการพ้นความเสียดแทงทั้งหลาย ความสุขของการไม่มีภาระของใจ ใจมันมีความสุขขึ้นมา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 กุมภาพันธ์ 2565
Direct download: 650220.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เรียนรู้ความจริงของร่างกาย เรียนรู้ความจริงของจิตใจไป วันหนึ่งก็จะรู้ว่าในโลกนี้อะไรมีคุณค่าบ้าง ในโลกมีแต่ของชั่วคราว สิ่งที่มีคุณค่าคือธรรมะ แล้วยิ่งเราเข้าใกล้ธรรมะเท่าไร จิตใจเรายิ่งเป็นอิสระมากขึ้น ไม่ใช่เป็นทาส อยู่กับโลกเป็นทาสมันหนักขึ้นทุกที เป็นทาสของเงินทอง ของทรัพย์สิน เป็นทาสของครอบครัว เป็นทาสของหน้าที่การงาน เป็นทาสของชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นทาสของความโลภต่างๆ เป็นทาสของกาม หิวตลอดเวลา เราเข้าใจความจริง ร่างกายนี้หาสาระไม่ได้ การที่จะเอาตัวเองให้เป็นทาสมันจะลดลง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 กุมภาพันธ์ 2565

Direct download: 650219.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

หาเครื่องอยู่ให้จิตอยู่เสียอย่างหนึ่ง ไปดูเอาควรจะอยู่กับอะไร เช่น อยู่กับลมมันละเอียดไป หลงยาว ไม่ค่อยจะรู้เนื้อรู้ตัวเลย ก็ใช้ของที่หยาบขึ้น รู้ยืน เดิน นั่ง นอน มันหยาบไป ก็ใช้กลางๆ ขยับก็รู้ไป มันพอดีๆ ไม่มากไปไม่น้อยไป หรือจะดูเวทนา แนะนำให้ดูเวทนาทางใจ ถ้าจะดูจิต จิตของเราขี้โลภ เราก็ใช้ความโลภเป็นตัวหลักเป็นวิหารธรรม จิตของเราขี้โกรธก็ใช้ความโกรธเป็นวิหารธรรม จิตของเราฟุ้งซ่านก็ใช้ความฟุ้งซ่านเป็นวิหารธรรม ก็ต้องค่อยๆ หัดดูไป เดี๋ยวก็ได้ทั้งสมาธิ ได้ทั้งปัญญา สุดท้ายก็จะไปรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ก็ได้ธัมมานุปัสสนาเหมือนกัน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 กุมภาพันธ์ 2565
Direct download: 650216.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เวลาเราภาวนา ถ้าเราไม่มีสติ เราก็ต้องพัฒนาสติ ไม่มีสัมมาสมาธิ เราก็ต้องพัฒนาสัมมาสมาธิ หรือเราไม่มีทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้อง เรียกว่าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ก็ต้องศึกษา ศึกษาจากพระไตรปิฎกจากอะไร ให้ได้สัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น เป็นทฤษฎีชี้นำว่าเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ฉะนั้นไม่ว่าเราจะแก้ปัญหาทางโลก หรือเราจะแก้ปัญหาทุกข์ทางจิตใจของเรา หลักมันก็ตรงกันนั่นล่ะ เพราะสัจจะความจริงก็ต้องเป็นความจริงในทุกที่ทุกเวลา ไม่ใช่เป็นความจริงเฉพาะในวัด ไปแก้ปัญหาชีวิตจริงทำไม่ได้ อันนั้นด้อยเกินไป ศาสนาพุทธไม่ได้ด้อยอย่างนั้น ที่หลวงพ่อสอนพวกเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็สอนอยู่ในเรื่องของอริยสัจนั่นเอง สอนพวกเราให้รู้ทุกข์ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 กุมภาพันธ์ 2565
Direct download: 650213.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

ในสติปัฏฐานสิ่งแรกที่เราต้องมีคือวิหารธรรม จะใช้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อันใดอันหนึ่งเป็นวิหารธรรม นี่เป็นสิ่งแรกเลยที่สติปัฏฐานพูดถึง ถัดจากนั้นก็มีความเพียรแผดเผากิเลส เรียกอาตาปี มีปัญญาขั้นต้นกำกับการปฏิบัติ เรียกว่าสัมปชัญญะ แล้วก็มีสติระลึกรู้ความเปลี่ยนแปลงไป ของรูปของนามอะไรที่กำลังมีกำลังเป็น ถัดจากนั้นก็จะถึงจุดสูงสุด ก็คือการถอดถอนความยินดียินร้ายในโลก คือในรูปธรรมนามธรรม ฉะนั้นหลักของสติปัฏฐานจริงๆ มีเท่านี้ล่ะ ต้องทำต้องเรียนให้ดี อย่าข้ามอย่าทิ้งอันใดอันหนึ่งไป หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กุมภาพันธ์ 2565

Direct download: 650212.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเราภาวนาเป็นเราจะรู้ การเรียงลำดับของพระพุทธเจ้านี้มีขั้นมีตอน เรียงขันธ์ ของที่หยาบที่สุดคือรูป แล้วก็ถึงนามธรรม นามธรรมก็มีส่วนที่หยาบ ส่วนที่ละเอียด เวทนาหยาบที่สุดเลย ดูง่าย ในนามธรรมทั้งหลาย เราค่อยๆ เรียนจากของหยาบที่สุดคือรูป มาเวทนา สัญญา สังขาร เราก็ค่อยแยกๆๆๆ ไปจนถึงตัวจิต เห็นรูปเห็นนามเป็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ แล้วก็วางเป็นลำดับๆ ไป มันวางรูปได้ก่อน ตรงที่เห็นรูปไม่ใช่เรายังเป็นปุถุชนอยู่ ตรงที่เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่เรา นั่นล่ะเป็นพระโสดาบัน ตรงที่เห็นความจริงว่ารูปไม่ควรยึดถือ เพราะมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั้นล่ะได้พระอนาคามี ตรงที่วางจิตได้ หมดความยึดถือจิต มันก็เห็นจิตเองก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ตรงนั้นล่ะเป็นพระอรหันต์ วางขันธ์ได้สิ้นเชิง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 กุมภาพันธ์ 2565

Direct download: 650206.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

สิ่งที่หลวงพ่อสอนเรื่องธรรมดาทั้งหมด เพียงแต่มนุษย์ทั้งหลายมันไม่ธรรมดา เพราะว่าจิตมันถูกโลภ โกรธ หลง ครอบงำเอาไว้ ก็เลยรู้สึกว่าธรรมะนี้ยาก จริงๆ ธรรมดาที่สุด ธรรมดาคืออะไร ธรรมดาของสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือต้องดับทั้งหมด เรียกว่าเรามีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา คือเราเห็นว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา” เห็นธรรมดา ใจยอมรับธรรมดาอันนี้ ใจจะค่อยๆ คลายออกจากทุกข์ คลายออกจากโลก คลายออกจากวัฏสงสาร หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 กุมภาพันธ์ 2565
Direct download: 650205.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเราตัดตรงเข้ามา เห็นความจริงของจิตได้ เวลาที่มันรู้แจ้งแทงตลอดในตัวจิตว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา เจตสิกทั้งหลายก็พลอยไม่ใช่เราด้วย เป็นแค่ของถูกรู้ถูกดู รูปทั้งหลายมันก็ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นแค่ของถูกรู้ถูกดูเท่านั้น ตัวนี้มันก็ถูกรู้ รูปภายในหรือรูปภายนอก รูปคนอื่น รูปสัตว์อื่น มันก็อาการเดียวกัน มีลักษณะอันเดียวกัน คือมันเป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ เหมือนๆ กัน สุดท้าย มันก็ตายก็เน่าไป กลับไปเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเข้าใจที่จิตตัวเดียวจะเข้าใจธรรมทั้งหมด หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 30 มกราคม 2565
Direct download: 650130.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เวลาเราทำทานเรามีความสุข จิตใจที่รู้จักให้มันจะพัฒนา อันแรกเลย มันลดความเห็นแก่ตัว อันที่สอง ใจที่รู้จักเกื้อกูลมันจะอ่อนโยน สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน สุดท้ายมันก็มาลงที่การพัฒนาใจทั้งนั้น เรานึกว่าทำทานไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ ที่แท้การทำทานเป็นการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน ต่อมาเราก็ฝึกให้เข้มข้นขึ้น รักษาศีล การรักษาศีลจะต้องต่อสู้กับกิเลสตัวเอง กิเลสมันจะพาเราผิดศีลตลอดเวลา เราก็พยายามรักษาศีลไว้ ไม่ตามใจกิเลสที่จะทำผิดศีล ศีลเป็นการฝึกลดละความโลภ ความโกรธ ความหลง เห็นไหมว่าทานก็สำคัญ ศีลก็สำคัญ ถัดไปที่ฆราวาสต้องเรียนนั้นคือภาวนา การภาวนามันมี 2 อันคือสมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา มันอยู่ที่ว่าฆราวาสจะเอาแค่ไหน ฆราวาสพอใจที่จะภาวนาให้สงบ ให้จิตมีกำลังเพื่อจะไปสู้กับโลกก็ฝึกไป เป็นสมถภาวนา อีกอันหนึ่งคือวิปัสสนาภาวนา ก็มีหลัก มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง เมื่อรู้หลักแล้วก็เดินเอา ช่วยตัวเองพยายามพัฒนาตัวเองไป ฝึกตัวเองอย่างนี้ทุกวัน มันก็จะอยู่ในเรื่องทาน ศีล ภาวนา สุดท้ายมันก็ลดละอกุศลลงไป แล้วก็เจริญกุศลให้ถึงพร้อม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 มกราคม 2565
Direct download: 650129.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

เราจะทำอะไร เราก็ต้องรู้วัตถุประสงค์ ว่าเราต้องการทำอะไรเพื่ออะไร ต้องชัดเจน ไม่ใช่เห็นคนอื่นเขาปฏิบัติ เราก็อยากปฏิบัติตามเขาด้วย มันไม่ได้เรื่องหรอก เราต้องรู้ว่าการปฏิบัติธรรม มีวัตถุประสงค์จริงๆ คือ เพื่อถอดถอนความทุกข์ออกจากใจเราให้ได้ จุดหมายสูงสุดก็คือความดับทุกข์ มี 2 ตัว ความดับทุกข์อันนี้เป็นวัตถุประสงค์สูงสุด เป้าหมายของเราอันแรกเลยก็คือต้องพ้นทุกข์ก่อน ต้องรู้ว่าทุกข์คืออะไร ฉะนั้นอริยสัจท่านจะเริ่มต้นจากทุกข์ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ก็คือ รูป นาม กาย ใจของเรานี้เอง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 มกราคม 2565

Direct download: 650123.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

กรรมฐานที่เหมาะกับพวกฟุ้งซ่าน พวกคิดมาก คือสังเกตจิตใจของเราไป ต้องอดทนเอา ดูความเปลี่ยนแปลงของจิต ตามรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิต ดูได้ทั้งวันยิ่งดี ตั้งแต่ตื่นนอนแล้วดูไปเรื่อยๆ เลย เฝ้ารู้เฝ้าดูจนเราเห็นความจริง ความจริงของร่างกาย ความจริงของจิตใจ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 มกราคม 2565

Direct download: 650122.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ทางใครทางมัน ไม่มีทางไหนวิเศษกว่าทางไหนทั้งสิ้นหรอก ถ้าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจะรู้เลย มันมาได้ทุกทาง เพราะทุกทางนั้นพระพุทธเจ้าสอนทั้งนั้น ไม่ใช่มีทางเดียว ต้องอย่างนี้แล้วต้องไปอย่างนี้ หลักสูตรตายตัวไม่มีหรอก ทางใครทางมัน ขออย่างเดียว ให้เราได้จิตผู้รู้ขึ้นมาเสียก่อนเถอะ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 มกราคม 2565

Direct download: 650116.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเราแทรกการปฏิบัติเข้าไปในการดำรงชีวิตได้ การภาวนาของเราเยอะแยะเลยวันๆ หนึ่ง คำว่าไม่มีเวลาภาวนาจะไม่มีหรอก หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยบอก “ถ้ามีเวลาหายใจ ก็มีเวลาปฏิบัติ” ถ้าไม่ได้หายใจแล้ว ตายไปแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติ ที่บอกว่าไม่มีเวลาปฏิบัตินั่นมันข้ออ้าง ถ้าเรารวมการปฏิบัติเข้ากับการใช้ชีวิตจริงได้ เรามีเวลาตลอดเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 มกราคม 2565
Direct download: 650115.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 650109.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ความสุขในโลกธรรมดาอย่างที่พวกเรารู้จัก ความสุขจากการดูรูป จากการฟังเสียง จากการดมกลิ่น จากการลิ้มรส จากการสัมผัสทางกาย ความสุขอย่างนี้เร่าร้อนไม่ยั่งยืน ได้มายากเสียไปง่าย รักษาไว้ยาก ความสุขที่สูงขึ้นไป ความสุขในสมาธิได้มาก็ยาก ฝึกกันแรมปีเลยกว่าจะเข้าสมาธิเป็น แล้วก็เสื่อมง่าย สูญเสียง่าย เราเพลินในกามนิดเดียวเท่านั้นเสื่อมหมดเลย ฉะนั้นความสุขของโลก ไม่ว่าจะเป็นกามโลก รูปโลก อรูปโลก ไม่ยั่งยืนหรอก ได้มายากเสียไปง่าย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 มกราคม 2565

Direct download: 650108.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ภาวนา ค่อยๆ เข้าใจไป ทำให้ถูก ไม่ใช่ทำแบบลุกลี้ลุกลน ภาวนาลุกลี้ลุกลน อยากจะได้ผลเร็วๆ มันจะไม่ได้อะไร ความอยากมันทำให้จิตปรุงแต่ง จิตก็ดิ้นรน ความปรุงแต่งของจิตคือภพ มรรคผลนิพพานมันพ้นจากภพไป เราก็เอาแต่ปรุงแต่ง อยากดีๆ อยากดีจิตก็เลยสร้างภพของคนดี เป็นคนดี เป็นนักปฏิบัติที่ดีอะไรอย่างนี้ มันจอมปลอมทั้งหมดล่ะ ให้รู้ทันเลย ฉะนั้นเวลาเราภาวนา อย่ารีบร้อน อย่ากระโดด อย่าข้ามขั้น ค่อยๆ ภาวนา ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ รู้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 มกราคม 2565

Direct download: 650102.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:30pm +07

เวลามีความเมตตาเกิดขึ้น คนแรกที่ได้รับประโยชน์คือตัวเราเอง ใจที่มีเมตตามันนุ่มนวล อ่อนโยน มันเบาสบาย มันเป็นกุศล ใครเข้าใกล้เราก็พลอยร่มเย็นไปด้วย ถ้าใจเราคิดแต่ประหัตประหาร เบียดเบียน แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างจากคนอื่น ใครเขาเข้าใกล้เราเขาหวาดผวา หาความสุขไม่ได้ ฉะนั้นเมตตาไม่เพียงแต่ตัวเองได้ประโยชน์ ผู้อื่นคือสัตว์โลกทั้งหลายได้ประโยชน์ด้วย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 มกราคม 2565

Direct download: 650101.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

จุดสูงสุดของบุญคือการทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้น ทำทิฏฐิทำความเห็นให้ถูกต้องนั้นเป็นบุญใหญ่ที่สุดแล้ว เพราะประกอบด้วยปัญญา บุญประกอบด้วยปัญญาเราก็ต้องรู้วิธี ค่อยๆ เรียนรู้วิธีที่จะปฏิบัติธรรม ทำทาน ถือศีล นั่งสมาธิอะไรมันก็ดีหรอก ไม่ใช่ไม่ดี แต่การจะทำทิฏฐิให้ตรงเป็นบุญสูงสุด ทำทิฏฐิให้ตรงก็ต้องฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าเราไม่ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน อย่างไรทิฏฐิเราก็ไม่ตรง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 ธันวาคม 2564

Direct download: 641231.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

1 « Previous 8 9 10 11 12 13 14 Next » 68