ความสุขอยู่ตรงไหน จับต้องไม่ได้ ไม่ชัดเจน สิ่งหนึ่งคนนี้สุข อันเดียวกันอีกคนไม่สุข บางคนคิดว่ามีชื่อเสียงแล้วจะมีความสุข มีคนรู้จักเยอะๆ แล้วมีความสุข เหมือนเจ้าหญิงไดอานา คนรู้จักเยอะ มีชื่อเสียง มีความสุขไหม ไม่มี ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย ทำอะไรคนก็คอยจ้องถ่ายรูปอยู่เรื่อย พยายามหนีๆ แล้วไปรถชนกันตายอยู่ในอุโมงค์อะไรนั่น ดูๆ ไป เกิดมาวัตถุประสงค์เพื่อหาความสุข ความสุขเหมือนภาพลวงตา เหมือนเหยื่อที่อยู่ข้างหน้า หลอกให้เราวิ่งไปหาตลอดเวลา แล้วก็ไม่เจอ พระพุทธเจ้าท่านมีสติมีปัญญาสูง ท่านไม่ได้สอนให้เราวิ่งหาความสุข มันเหมือนภาพลวงตา หาเท่าไรก็ไม่เจอเสียที ท่านบอกว่าเป้าหมายสูงสุดในชีวิตเรา ต้องพ้นจากความทุกข์ให้ได้ คือท่านมีสติมีปัญญาสูง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660716.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

การปฏิบัติธรรมต้องช่วยตัวเอง ครูบาอาจารย์ช่วยได้แค่บอกทางให้ พวกเราต้องเดินด้วยตัวเองให้ได้ อย่าทำตัวเป็นเด็กทารกแรกเกิดตลอดไป ไม่ได้ แรกๆ ก็อาจจะเหมือนเด็กทารก พ่อแม่ต้องประคบประหงมหน่อย พอโตได้ ต้องโตด้วยตัวเองให้ได้ การปฏิบัติก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ช่วยเรา ตอนเรายังไม่รู้วิธีปฏิบัติ คล้ายๆ พ่อแม่สอนให้รู้จักยืน ให้รู้จักเดิน ส่วนจะยืนไหม จะเดินไหม จะวิ่งได้ไหม อยู่ที่ตัวเราเอง จะยืนหยัดอยู่ได้ไหม พวกเราต้องไปทำเอาเอง ต่อไปหลวงพ่อคงจะไม่จ้ำจี้จำไชพวกเรามากเกินไปแล้ว ที่ผ่านมาหลวงพ่ออยากให้พวกเราภาวนาเก่ง ภาวนาดี ไม่เถลไถล หลวงพ่อเข้าไปควบคุมเยอะ เมื่อคืนวันพฤหัสนั่งสมาธิอยู่ ก็ได้ยินเสียงครูบาอาจารย์ ท่านบอกให้หลวงพ่ออุเบกขาได้แล้ว กรรมใคร กรรมมัน ถ้าหลวงพ่อไปจู้จี้กับพวกเรา อยากให้พวกเราดี อยากให้ได้ธรรมะอะไรอย่างนี้ จู้จี้มากไป บางคนเข้าใจก็ดี บางคนไม่เข้าใจ โกรธ บาปกรรมเปล่าๆ ท่านว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ดูแลตัวเองให้ดีหน่อย คนไหนใจเปิดรับธรรมะ ก็ไม่ยากอะไรหรอก ถ้าใจไม่รับก็ปล่อยแล้วนะ ปล่อยแล้ว แบกพวกเราไม่ไหวแล้ว ชรามากแล้ว ถ้าเป็นฆราวาสนี้เกษียณไปนานแล้ว ช่วยตัวเองให้ได้ เดินด้วยตัวเองให้ได้ อย่าเป็นเด็กอ่อนตลอดกาล ยังเดินไม่ได้ ยังยืนไม่ได้ คลาน คลานไป แล้ววันหนึ่งต้องยืนขึ้นให้ได้ ยืนแล้วต้องเดินให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ครูบาอาจารย์คอยประคับประคองอีกต่อไป ต้องช่วยตัวเองให้ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660715.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

ที่ผ่านมา หลวงพ่อก็มองพวกเรา ด้วยความเมตตาสงสาร ไม่อยากให้ทุกข์นาน พยายามจ้ำจี้จ้ำไชพวกเรา บางคนก็รู้สึก หลวงพ่อจู้จี้เหลือเกิน บีบคั้นบังคับมากเหลือเกิน จะให้ทำอย่างโน้น จะไม่ให้ทำอย่างนี้ เบื่อ เบื่อหน่าย อยากจะตามใจกิเลส ที่หลวงพ่อพยายามสอนพวกเรา ไม่ใช่เพื่อตัวหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อสงสาร เห็นอกเห็นใจ เราก็เคยทุกข์ เคยลำบากมาก่อนในการปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าสบาย อดทนมากเลยในการฝึกตัวเอง ทีนี้เคี่ยวเข็ญพวกเราเยอะๆ บางคนก็เบื่อ บางคนก็รำคาญ ไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ เมื่อคืนหลวงพ่อก็ภาวนา ก็นอน ได้ยินเสียงครูบาอาจารย์ ท่านมาบอกให้อุเบกขา เราหามทุกคนไปนิพพานไม่ได้หรอก สอนให้แล้วก็แล้วกัน ทำก็เจริญ ไม่ทำก็ไม่เจริญ ท่านสั่งหลวงพ่อบอกว่า ให้อุเบกขาได้แล้ว เราไปแบกทุกคนไปนิพพาน ทำไม่ได้หรอก ทีนี้ครูบาอาจารย์สั่งแล้ว หลวงพ่อก็ทำ ต่อไปนี้จะไม่จ้ำจี้จ้ำไชอีกต่อไปแล้ว ถ้าสอนก็สอนรวมๆ อย่างนี้ จะไม่ไปไล่กวดขันทีละคนแล้ว เอาตัวเองให้รอดก็แล้วกัน จะฟังพระธรรม หรือจะฟังกิเลส ตัดสินเอาเอง เลือกทางเอาเอง ไม่มีใครทำกรรมฐานแทนใครได้หรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660714.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

Direct download: 651217_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651217_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651211_VQ_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651211_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651211_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651210_VT2.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

เราอยู่กับร่างกาย อยู่กับจิตใจของเรามาแต่ไหนแต่ไร แต่คนในโลกไม่ได้เรียนรู้ร่างกายจิตใจของตัวเอง ลืมไปหมดแล้ว มัวสนใจแต่สิ่งอื่น ของข้างนอก สนใจรูปมากกว่าสนใจลูกตาตัวเอง สนใจเสียงมากกว่าสนใจหู สนใจกลิ่นมากกว่าสนใจจมูก สนใจรสชาติมากกว่าสนใจลิ้น สนใจสิ่งที่มาสัมผัสร่างกายมากกว่าจะสนใจร่างกาย สนใจเรื่องราวที่คิด นึก ปรุง แต่ง ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายมากกว่าจะสนใจจิตใจตัวเอง มีคนจำนวนมากบอกปฏิบัติมาหลายสิบปีเลย มันก็ได้แค่นั้น พอมาฟังหลวงพ่อพูด เรื่องเจริญสติเรื่องอะไร จิตใจก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว ธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าทำถูกจะไม่เนิ่นช้า เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ไม่เนิ่นช้า ถ้าเนิ่นช้า แสดงว่าต้องมีอะไรพลาดแล้ว อันแรกเลย ปฏิบัติไม่ถูก อันที่สอง ปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง ทำแล้วก็หยุดๆ พวกตุ่มรั่ว ที่หลวงพ่อเรียก พวกตุ่มรั่ว พอเขารู้จักการเจริญสติ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกินอาหาร จะขับถ่าย จะทำอะไร ก็รู้สึกกาย รู้สึกใจไปเรื่อยๆ สติก็ไวขึ้นๆ พอสติมันเกิด สมาธิที่แท้จริงมันก็เกิด เพราะสัมมาสติที่ทำให้มาก เจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ ฉะนั้นเราจะต้องพัฒนาสัมมาสติให้ได้ ด้วยการทำสติปัฏฐานนั่นล่ะ มิฉะนั้นเราจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ คนอื่นเขาก็เดินจงกรม เขานั่งสมาธิ แต่เขาเดินเพื่อความสุข เพื่อความสงบ เพื่อความดี เราจะเดินจงกรม จะนั่งสมาธิ เพื่อพัฒนาสติและสัมมาสมาธิ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660709.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

จิตนี้มันหยิบขันธ์เอาไว้ รู้สึกว่าดี สวยงาม ดีงาม แต่สติปัญญาแก่กล้าแล้ว ขันธ์นี้คือตัวทุกข์ คราวนี้จ้างให้ก็ไม่หยิบแล้ว ไม่ต้องพยายามที่จะไม่หยิบ มันไม่หยิบเอง เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว ชาติก็คือการที่จิตหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่น สิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือการประพฤติปฏิบัติธรรมจบแล้ว เรียนหนังสือจบแล้ว จบลงที่ไหน จบลงที่จิตมันหลุดพ้นแล้ว มันพ้นแล้ว มันไม่มีงานที่จะต้องทำต่อ เพื่อจะให้จิตหลุดพ้น ไม่ต้องทำแล้ว หลุดแล้วหลุดเลย ฉะนั้นชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้นไม่มีอีกแล้ว มันรู้สึกอย่างนั้น นั่นล่ะที่สุดของทุกข์ ที่สุดของทุกข์มันอยู่ตรงธรรมนั้นเอง สิ่งที่เรียกว่าธรรมะตัวนี้ เป็นธรรมะเหนือโลก เหนือขันธ์ เหนือวัฏสงสาร ไม่อย่างนั้นยังไม่มีจุดสิ้นสุด ก็ยังเวียนว่ายไปเรื่อยๆ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด แค่เข้าใกล้ แล้วปุถุชนอย่างพวกเรา มันจะเห็นไหม ไม่เห็นหรอก ต้องฝึกตัวเองให้มาก อย่าวุ่นวายเถลไถล ที่น่าห่วงเลยก็คือพวกเราชอบเถลไถล ตั้งใจภาวนาเอาจริงเอาจัง ยังไม่ค่อยจะรอดเลย แล้วเถลไถล แล้วมันจะรอดหรือ มันไปไม่รอดหรอก นี่ล่ะกฎแห่งกรรม ใครทำคนนั้นก็ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้ หรือทำในทางที่ไม่ดีมันก็ไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660708.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พยายามยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นๆ ไป อดทน ไม่อดทนทำไม่ได้หรอก เส้นทางนี้ มันน่าเบื่อ ให้มันเด็ดเดี่ยวๆ อดทน ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นไร ล้มแล้วลุกขึ้นมา เดินต่อ ลงไปคลุกฝุ่น ลุกไม่ไหว เราคลานไป อย่าอยู่กับที่ แล้ววันหนึ่งเราก็จะพ้นจากความทุกข์อันมหาศาล ค่อยทุกข์น้อยลงๆ ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรียบ เหมือนคนหลงป่าแล้วป่านี้มืดทึบเลย ไม่เห็นเดือน ไม่เห็นตะวัน มืด พื้นก็มีแต่ทาก ต้นไม้ก็มีแต่หนาม เดินทางไหนก็หนามทิ่มหนามตำอะไรอย่างนี้ ท่านก็บอก วัฏสงสารก็อย่างนั้นล่ะ มันทุกข์ทั้งนั้น หันซ้ายก็ทุกข์ หันขวาก็ทุกข์ แต่ต้องอดทนค่อยๆ คลำทางออกไป ค่อยๆ ถางทางออกไป จากป่ารกทึบ มีแต่เสี้ยนหนาม มันก็จะเข้าสู่ป่าโปร่งมากขึ้น หนามมันก็อยู่ห่างๆ คราวนี้รู้จักหลบ รู้จักหลีก มีทางให้หลบแล้ว ตอนอยู่ในป่าทึบ หันซ้ายหันขวา โดนหมด แล้วต่อมาก็ออกมาที่ชายทุ่งได้ ออกมาที่บ้านที่เมืองได้ ท่านเปรียบเทียบอย่างนี้ อดทน ฉะนั้นอดทน จำเป็น ต้องอดทนอดกลั้น อย่าตามใจกิเลสตัวเอง ถ้าตามใจกิเลสตัวเอง มันมีแต่ต่ำลงๆ แล้วบางคนตามใจกิเลสตัวเอง แต่ว่ามันฉลาด แก้ตัวให้กิเลส หาเหตุผลว่าอันนี้ดีๆ อันนี้ต้องทำๆ เถลไถลไปเรื่อยๆ อันนั้นแก้ตัวให้กิเลส ลืมไปว่าชีวิตของคนไม่ได้ยั่งยืนอะไร คนที่อายุถึงร้อยปีมีสักกี่คน แล้วอายุมากๆ ร่างกายเสื่อม สมองเสื่อม ภาวนาลำบาก ตอนที่ยังแข็งแรง รีบภาวนา เหมือนตอนที่แข็งแรงอยู่ รีบหาทางออกจากป่าให้ได้ ป่านี้ก็คือวัฏสงสารนั่นเอง มีเสี้ยนหนามอยู่รอบตัว ก็คือมีความทุกข์ตลอด หันซ้ายก็ทุกข์ หันขวาก็ทุกข์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660702.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ที่สุดของทุกข์ก็อยู่ตรงที่สุดของขันธ์ ค่อยๆ ฝึก ก่อนจะถึงจุดนี้ ขั้นแรกก็ต้องเรียนรู้ทุกข์ให้ดี เราไม่ต้องพยายามดิ้นรนที่จะประจักษ์พระนิพพาน แจ่มแจ้งพระนิพพาน ไม่ต้อง ให้รู้ทุกข์ให้ดี เครื่องมือที่เราจะต้องพัฒนาตัวเองก็เรียกว่ามรรค ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา เรามีศีล ใจเราจะได้ไม่วอกแวก เรามีสมาธิเพื่อให้ใจเรามีกำลัง ตั้งมั่น เด่นดวงอยู่ สามารถเอาไปเจริญปัญญา คือเรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจได้ เมื่อเรียนรู้ความจริงของรูปนาม เห็นรูปนามอย่างที่มันเป็นแล้ว ไม่ใช่อย่างที่เราคิดจะเป็น คนทั่วไปปฏิบัติธรรมก็อยากมีความสุข อยากไม่ทุกข์ อันนั้นเรียกว่ายังไม่ยอมรับความจริง ถ้ายอมรับความจริงก็คือเห็นความจริง รูปนามคือตัวทุกข์ จะไปอยากให้มันไม่ทุกข์ ไม่ได้ มันคือตัวทุกข์ ท่านบอกว่า “เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย” เบื่อหน่ายอะไร เบื่อหน่ายในธาตุในขันธ์นั่นล่ะ “เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว” หลุดพ้นจากอะไร หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในรูปนามนั่นล่ะ พอหลุดพ้นจากรูปจากนามได้ ก็เรียกว่าพ้นทุกข์ หลุดออกจากรูปนามได้ เพราะรู้แจ้งเห็นจริง ว่ารูปนามนี้คือตัวทุกข์ มันจะวาง ฉะนั้นหน้าที่เรารู้ทุกข์ รู้ทุกข์ไปเรื่อยๆ เครื่องมือสำคัญในการรู้ทุกข์ ก็คือสติกับปัญญา สติเป็นตัวรู้สภาวะที่กำลังมีกำลังเป็น ปัญญาจะรู้ลักษณะของสภาวะที่มีที่เป็นอยู่ สภาวะก็คือรูปธรรมนามธรรม สติเป็นตัวรู้ทัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660701.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ตรงที่เราสามารถเห็นรูปธรรมร่างกายนี้เป็นไตรลักษณ์ เราก็ขึ้นวิปัสสนาแล้ว ตรงที่เราสามารถเห็นได้ ว่าสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เราก็ขึ้นวิปัสสนาแล้ว ตรงที่เห็นกุศลอกุศลทั้งหลายเกิดขึ้น อย่างความโกรธเกิดขึ้น เราก็เห็นมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนั้นเราก็ขึ้นวิปัสสนาแล้ว ลำพังเห็นตัวสภาวธรรมก็เป็นปัญญาขั้นต้น ยังไม่ได้ขึ้นวิปัสสนา จะขึ้นวิปัสสนาต่อเมื่อเห็นความจริงของสภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวง ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม เราจะเห็นได้จิตเราต้องมีกำลัง ที่หลวงพ่อจ้ำจี้จ้ำไชพวกเรา สังเกตให้ดีเถอะ สิ่งที่หลวงพ่อสอนเป็นเรื่องของการฝึกจิตให้มีกำลังในเบื้องต้น จิตเรามีกำลังตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาแล้ว ขั้นต่อไปก็คือเดินปัญญา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 มิถุนายน 2566

Direct download: 660625.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราพยายามพัฒนาสติของเราตั้งแต่ตื่นจนหลับ คอยเอาสตินี้ล่ะอ่านจิตอ่านใจตัวเองไป ศีลเราจะดี สมาธิเราจะพัฒนา จะไม่มีลักษณะของตุ่มรั่ว เรามีสติอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ ถึงเวลานั่งสมาธิแป๊บเดียวก็สงบแล้ว ไม่ยาก แต่ถ้าฟุ้งซ่านทั้งวัน ไปนั่งสมาธิก็นั่งฟุ้งๆ แป๊บเดียวก็หลับ ทำไมหลับเก่ง จิตเหนื่อยเต็มทีแล้ว ฟุ้งซ่านมาทั้งวันแล้ว ต้องการพักแล้ว แต่ถ้าเรามีสติอยู่ทั้งวัน จิตไม่เหนื่อย ร่างกายอาจจะเหนื่อย พักผ่อนเสียหน่อยหนึ่งก็หาย แต่จิตไม่เหนื่อย สมมติร่างกายเราเหนื่อยมากจริงๆ ก็นอน นอนไปหายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป จิตใจกลับไปคิดเรื่องงาน คิดเรื่องคนอื่น วุ่นวายขึ้นมา มีสติรู้ทัน ฉะนั้นการปฏิบัติ พยายามมีสติรู้ทันจิตใจตัวเองไป ศีลก็จะเกิดขึ้น สมาธิก็จะเกิดง่าย พอเรามีสติ เรามีศีล เรามีสมาธิแล้ว มันเกื้อกูลให้เกิดปัญญา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 มิถุนายน 2566

Direct download: 660624.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660619.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651210_VT1.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651204_VQ_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

ถ้าจิตเกิดคิดขึ้นมาแล้วเราเป็นคนรู้ ความคิดนั้นจะขาดสะบั้นทันทีเลย แล้วเราจะเห็นสภาวะสุขเกิดดับ เกิดแล้วดับ ทุกข์เกิดแล้วดับ ดีเกิดแล้วดับ ชั่วเกิดแล้วดับ รูปหายใจออกเกิดแล้วดับ รูปหายใจเข้าเกิดแล้วดับ รูปยืนเกิดแล้วดับ รูปนั่งรูปนอนรูปอะไรก็ตามเกิดแล้วก็ดับ เห็นซ้ำๆๆ สุดท้ายจิตมันจะสรุป มันปิ๊งขึ้นมาเลยนะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา ทำไมใช้คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่จริงก็คือ Everything ที่เกิด ทุกสิ่งที่เกิด ทำไมไม่บอกว่าสุขเกิดแล้วดับทุกข์เกิดแล้วดับ เพราะปัญญาตัวนี้เป็นปัญญารวบยอด รวบยอดว่าทุกสิ่งที่เกิดล้วนแต่ดับทั้งสิ้น มันรวบยอดระดับนี้ มันถึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งเลย กายเรานี้พอเราเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็แค่วัตถุยืมโลกมาใช้ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา ความรู้สึกสุขทุกข์ ความรู้สึกดีชั่วอะไรก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา จิตเองก็เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราสั่งจิตไม่ได้ สั่งจิตให้ดีตลอดก็ไม่ได้ ห้ามจิตชั่วก็ไม่ได้ สั่งให้จิตสุขก็ไม่ได้ ห้ามจิตทุกข์ก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 18 มิถุนายน 2566

Direct download: 660618.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651204_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

ถ้าเราภาวนาดูจิตดูใจก็ดูได้ 2 ระดับ ถ้าอย่างง่าย เราก็ดูจิตที่เกิดดับ ด้วยการเห็นเกิดดับร่วมกับเจตสิก จิตสุขเกิดพร้อมกับความสุข ดับพร้อมกับความสุข จิตทุกข์เกิดพร้อมกับความทุกข์ ดับพร้อมกับความทุกข์ จิตเฉยๆ เกิดพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ ดับพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ จิตดีจิตชั่วก็เหมือนกัน เกิดพร้อมกับความรู้สึก ดับพร้อมกับความรู้สึก ฉะนั้นจิตกับเจตสิกนั้นเกิดดับด้วยกัน พร้อมๆ กัน ถ้าเราหัดดูจิตโดยการเห็นเกิดดับทางอายตนะ เราดูที่ตัวจิตไปเลย เดี๋ยวก็เป็นจิตรู้ เดี๋ยวก็เป็นจิตคิด เดี๋ยวก็เป็นจิตเพ่ง เดี๋ยวก็จิตหลงไปดูรูป เดี๋ยวจิตหลงไปฟังเสียง เดี๋ยวจิตหลงไปดมกลิ่น เดี๋ยวจิตหลงไปรู้รส เดี๋ยวจิตหลงไปรู้สัมผัสทางร่างกาย เดี๋ยวจิตก็หลงไปรู้อารมณ์ทางใจ เราเห็นอย่างนี้ก็ได้ แต่อันนี้ละเอียดจะดูยาก เพราะฉะนั้นหลวงพ่อแนะนำ ถ้าหัดใหม่ ไปดูจิตสุข จิตทุกข์ จิตดี จิตชั่ว อันนั้นดูง่าย แต่ถ้าจะดูละเอียดขึ้นมา จนเห็นจิตเกิดดับทางอายตนะ ดูยากกว่า เพราะมันเร็วมาก การจะเห็นจิตเกิดดับทางอายตนะนั้น มันอยู่ในธัมมานุปัสสนาแล้ว สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง สติ สมาธิ ปัญญาของเรา ต้องแข็งแรงพอ เราถึงจะเห็น ถ้าไม่แข็งแรงพอ ดูแวบเดียวหลงไปนานเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 17 มิถุนายน 2566

Direct download: 660617.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651204_VT1__.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนตัดตรงเข้ามาที่จิต เป็นการสอนที่ลัดสั้นที่สุด หลวงปู่สุวัจน์ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ท่านก็เคยบอกหลวงพ่อ ท่านบอกว่าตอนท่านไปเรียนกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็สอนบอกว่า “ดูจิตได้ให้ดูจิต ดูจิตไม่ได้ให้ดูกาย ดูจิตไม่ได้ ดูกายไม่ได้ ให้ทำสมถะ” ทำสมถะเพื่อให้มีกำลังกลับมาดูจิตได้ ดูกายเพื่ออะไร เพื่อให้เกิดกำลังไปเห็นจิต ดูจิตเพื่ออะไร เพื่อให้เห็นธรรม ธรรมะเป็นอย่างไร ก็ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั่นล่ะคือตัวธรรมะ เราดูลงไปเลย จิตนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นสิ่งที่หลวงปู่ดูลย์สอน เป็นทางที่ลัดสั้นที่สุดแล้ว ถ้าเราสามารถตัดตรงเข้ามาที่จิตเรา การปฏิบัติจะเหลือนิดเดียวเลย แต่ถ้าเรายังเข้ามาที่จิตไม่ได้ เราก็อ้อมๆ ไปก่อน ไปดูกาย ดูเวทนา ดูสังขารอะไรไป แต่ถ้าตัดตรงเข้ามาเห็นจิตได้ เห็นจิตสุขเกิดแล้วดับ จิตทุกข์เกิดแล้วดับ จิตดีเกิดแล้วดับ จิตโลภ โกรธ หลงเกิดแล้วดับ อย่างนี้ดูจิตไปเลย วันไหนดูไม่ไหว จิตไม่มีกำลัง ไปดูกาย หายใจเข้าพุท หายใจออกโธอะไรก็ทำไป จิตมันมีกำลังขึ้นมา มันก็จะเข้ามาดูจิตได้เอง นี่เส้นทางที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนหลวงพ่อมา แล้วหลวงพ่อก็เอามาทำ ใช้เวลาไม่มาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดบูรพาราม 11 มิถุนายน 2566

Direct download: 660611.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เรามาหัดทำกรรมฐานแล้วสังเกตไป ความอยากเกิดทีไร ความทุกข์เกิดทุกที ไปหัดดูตัวนี้ไว้ แล้วเราจะรู้เลยว่า ไม่มีใครมาทำให้ใจเราทุกข์ได้ เราทุกข์เองเพราะอำนาจของความอยาก ส่วนปัญหาทางโลกๆ มีปัญหาก็แก้ไป ใช้สติ ใช้ปัญญา ไม่ใช่ใช้ความอยาก อย่างเราค้าขายไม่ดี เคยขายดีแล้วก็ขายไม่ดีขึ้นมา เราก็ต้องใช้เหตุผลไปดูว่าทำไมคนไม่เข้าร้านเรา แต่เดิมเข้า มันอาจจะมีร้านอื่นที่น่าสนใจกว่า คนก็ไป นี่คือปัญหา ไปดูว่าปัญหามีสาเหตุที่ไหนก็ไปแก้ที่นั้น เราก็จะแก้ป้ญหาทางโลกได้ ส่วนทางจิตใจเรา ตัวทุกข์นั้นเป็นปัญหาใหญ่ของเรา เราก็ดูอะไรเป็นเหตุของทุกข์ ก็คือตัวตัณหา ตัวความอยาก ถ้าเรารู้ทัน ความอยากดับ ความทุกข์มันก็ดับ เพราะฉะนั้นเวลามีปัญหาเกิดขึ้น จะปัญหาในจิตใจเราเอง หรือปัญหาข้างนอกก็ตาม ปัญหาในชีวิตก็ตาม เวลาแก้ปัญหา ให้ไปพิจารณาให้ดี สาเหตุของปัญหาอยู่ที่ไหนแก้ที่นั่น แก้ที่ตัวสาเหตุ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 มิถุนายน 2566

Direct download: 660605.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 7:00pm +07

Direct download: 651203_QT_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

1 « Previous 3 4 5 6 7 8 9 Next » 89