ทั้งหมดมี 10 ข้อ มีมักน้อย สันโดษ ฝักใฝ่ในความสงัด ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร 5 ข้อ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ถัดจากนั้นคือมีวิมุตติ ตัวที่เก้าคือเกิดอริยมรรคเกิดอริยผล พอเกิดอริยมรรคอริยผลแล้ว มันก็ขึ้นมาถึงตัวสุดท้าย ตัวที่สิบชื่อวิมุตติญาณทัสสนะ วิมุตติญาณทัสสนะไม่ใช่เห็นโน่นเห็นนี่ อันนั้นฟุ้งซ่าน วิมุตติญาณทัสสนะก็คือ จิตทวนกลับเข้าไปพิจารณา ว่าตอนที่เกิดอริยมรรคอริยผลนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อริยมรรคได้ทำลายล้างกิเลสชั้นละเอียด คือตัวสังโยชน์ได้กี่ตัวแล้ว ยังเหลือกี่ตัว ทำลายไปกี่ตัว ถ้าเป็นการตัดเกิดอริยมรรคครั้งสุดท้าย เกิดอรหัตตมรรค ทวนเข้ามาไม่มีกิเลสเหลือ ไม่มีเชื้อเหลือแล้ว เรียกว่าไม่มีเชื้อที่จะเหลือ ทวนกลับมาสรุปบทเรียนทั้งหมดเลย เป็นการวัดใจตัวเองขั้นสุดท้าย ยังมีกิเลสเหลือหรือไม่มี วัดตัวเอง วิญญูชนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้คนอื่นมาวัดให้เรา เชื่อไม่ได้หรอก เชื่อถือไม่ได้ ต้องดูของเราเอง ธรรมะ 10 ประการ 5 ประการแรกเป็นการปรับเงื่อนไขในการดำรงชีวิต ที่เอื้อต่อการพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดได้ด้วยการพัฒนาสติ ในวิธีการที่จะพัฒนาสติ คือ สติปัฏฐานนั่นเอง แล้วเราจะได้ศีล สมาธิ ปัญญา พอศีล สมาธิ ปัญญาแก่รอบ ก็จะเกิดมรรคเกิดผล เกิดวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะจะตามมาอัตโนมัติ เป็นของแถมให้ นี่องค์ธรรม 10 ประการที่พวกเราจะต้องเดิน ทำ 5 ข้อให้รอด อย่ายอมแพ้ แล้วก็มีสติรักษาจิตไว้ แล้วศีลเราจะดี สมาธิเราจะดี ปัญญาเราจะเกิด มีสติรักษาจิตไว้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 ตุลาคม 2566

Direct download: 661001.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้ามีสติอยู่กับร่างกาย รู้สึกไป ไม่นานเราก็จะเห็นความทุกข์ ร่างกายมีแต่ทุกข์ มีสติรู้สึกจิตไปเรื่อยๆ ไม่นานเราก็จะรู้สึกว่าจิตนั้นก็เป็นตัวทุกข์ มีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เฝ้ารู้เฝ้าดู ถ้ารู้ทุกข์เมื่อไร ก็เป็นอันละสมุทัยเมื่อนั้น เรายึดกายมากเพราะเราเห็นว่ากายเป็นตัวสุข เป็นตัวดี พอเรามีสติรู้สึกอยู่ในกายเนืองๆ กายนี้เป็นตัวทุกข์ ความรักใคร่หวงแหนในร่างกายก็จะลดลง จนกระทั่งวันหนึ่งมันไม่ยึดถือในร่างกาย ต่อไปก็ดูจิตใจไป เห็นจิตใจเป็นตัวทุกข์ เรียกรู้ทุกข์ มันก็ละสมุทัย ละความรักใคร่หวงแหนในจิตใจ ก็วางตรงที่วางนั่นล่ะคือตัวนิโรธ ปล่อยวางได้ ถ้าเห็นว่ากายนี้ใจนี้มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย มันก็จะวางแล้วล่ะ มันก็จะละสมุทัยได้ ละความรักใคร่หวงแหนในร่างกายจิตใจได้ ก็ปล่อยวางได้ ก็จะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าสอนธรรมะมาตั้งมากมายก็เพื่อมาสู่จุดนี้ สอนเราจนกระทั่งเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ที่ทุกข์ก็เพราะยึด ที่เข้าไปยึดก็เพราะอยาก ที่อยากก็เพราะโง่ ไม่เห็นทุกข์ ก็แค่นั้นล่ะ คำว่าอวิชชาๆ คือโง่ ไม่รู้ทุกข์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 กันยายน 2566

Direct download: 660924.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660226_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660226_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660225_VQ2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660225_VQ1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

ถ้าเรามีสติปัญญา เราเห็นจิตมันขาดออกจากกัน เหมือนเราเห็นฟิล์มหนัง รูปแต่ละรูปของฟิล์มหนัง มันคนละรูปกัน แต่ว่าพอเอามาเข้าเครื่อง มันก็เกิดภาพลวงตา มีตัวละครอยู่ตัวเดียวนี้ล่ะ เคลื่อนไหวไปมาได้ อันนี้เพราะว่ามันเกิดสันตติ คือความสืบต่อสืบเนื่อง เอารูปมาเรียงๆๆ กัน ต่อกันอย่างรวดเร็ว ก็เลยรู้สึกว่ามีตัวตนขึ้นมา ตัวตนนี้ล่ะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง อันนี้เวลาเราหัดดูจิตดูใจ ทีแรกเราก็จะเห็นจิตมีดวงเดียว เดี๋ยวก็วิ่งไปทางตา แล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไปทางหูแล้วก็วิ่งกลับมา อันนี้สันตติยังไม่ขาด ยังไม่ขึ้นวิปัสสนาหรอก ไม่ใช่วิปัสสนา เรามีสติเห็นตัวสภาวะ เห็นจิต แต่เราไม่มีปัญญา ที่จะแยกว่าจิตที่เกิดขึ้นนี้ มันเกิดดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็ว สันตติขาด เราก็จะรู้ว่าจริงๆ จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ดวงใหม่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ดวงที่ใหม่กว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เราจะเห็นมันเกิดดับๆๆ สืบเนื่องกัน ตัวนี้เรียกว่าเห็นอนิจจังของจิต แล้วมันก็ทำลายภาพลวงตา ที่เดิมเราคิดว่า โอ๊ย จิตมีดวงเดียว จิตคือตัวเราวิ่งไปวิ่งมา ออกไปเสพอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คราวนี้พอมันขาดออกเป็นตัวๆ ไป เป็นดวงๆ ไป เราจะพบว่ามันไม่ใช่ตัวเรา มันมีแต่ของที่เกิดแล้วดับ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน เป็นอมตะ ถาวร ตรงนี้เป็นปัญญาชั้นละเอียดของเราชาวพุทธ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 กันยายน 2566

Direct download: 660923.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660225_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660920.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660225_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

ถ้าเราภาวนา เดินอยู่ในแนวทางอย่างที่หลวงพ่อบอก ทีแรกฝึกให้จิตตั้งมั่นและก็เป็นกลางด้วยสติ ทำกรรมฐานไปแล้วมีสติรู้ทันจิตไป รู้ทันใน 2 ระดับ อันแรกรู้ทันว่ามีอะไรเกิดขึ้น อันที่สอง รู้ทันความยินดียินร้ายของจิต จิตจะตั้งมั่นและเป็นกลาง เราจะได้สัมมาสมาธิที่เต็มที่แล้ว ถัดจากนั้นเราเจริญปัญญา สติระลึกรู้กายด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง สติระลึกรู้เวทนาด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง สติระลึกรู้สังขารด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง สติระลึกรู้จิตด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ต่อไปมันก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่ได้น่ารักน่าหวงแหน ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีและชั่วเสมอกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ พอมันยอมรับว่าทุกอย่างเสมอกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ จิตจะยุติการดิ้นรนทันทีเลย เรียกยุติสังขารหรือยุติการสร้างภพ สังขารในใจเราคือภพ เรียกว่าภพ เรียกว่ากรรมภพ พอไม่มีความดิ้นรนอันนี้ จิตก็หมดภาระ จิตก็เป็นอิสระต่อสังขาร จิตที่เป็นอิสระต่อสังขาร เรียกว่าวิสังขาร จิตที่ไม่หลงตามกิเลสตัณหาทั้งหลาย เรียกว่าวิราคะ วิราคะก็ชื่อของนิพพาน วิสังขารก็ชื่อของนิพพาน วิมุตติ จิตหมดความยึดถือในรูปนาม ก็เป็นความหมายของนิพพานนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อไรจิตเราสิ้นตัณหาเมื่อนั้นเราก็สัมผัสพระนิพพาน เมื่อไรจิตเราพ้นจากความปรุงแต่ง จิตเราก็สัมผัสพระนิพพาน เมื่อไรจิตปล่อยวางรูปนามขันธ์ 5 ได้หมด ปล่อยวางจิตได้ จิตก็สัมผัสพระนิพพาน ฉะนั้นค่อยๆ ภาวนา เบื้องต้นก็เป็นกลางด้วยสติ ได้สมาธิเกิดขึ้น เบื้องปลายเป็นกลางด้วยปัญญา ก็จะได้วิมุตติ ได้ความหลุดพ้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช 17 กันยายน 2566

Direct download: 660917.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

Direct download: 660219_VT2.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660219_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660218_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660218_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660212_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660212_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

เวลาเราภาวนาแล้วจิตเราไม่สงบ เราพยายามจะให้สงบ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ มันยิ่งฟุ้งซ่าน ตรงที่อยากทำแล้วก็ดิ้นรนทำ จะทำให้ฟุ้งซ่านมากขึ้น แต่ถ้าเราตัดที่ต้นตอของมัน เรารู้ จิตฟุ้งซ่านเราไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ ความไม่ชอบดับ จิตเป็นกลาง พอจิตเป็นกลาง ความฟุ้งซ่านทนอยู่ไม่ได้ มันดับขาดสะบั้นทันทีเลย พอจิตเป็นกลางได้ มันตั้งมั่นอัตโนมัติอยู่แล้ว มันตั้งมั่น มันเป็นกลางขึ้นมา ก็เอื้อให้เกิดปัญญา ปัญญาทำหน้าที่ตัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป อย่างความฟุ้งซ่านอย่างนี้ พอความฟุ้งซ่านเกิด สติรู้ทัน จิตตั้งมั่น จิตเป็นกลาง จะเกิดปัญญา ปัญญาก็ตัดความฟุ้งซ่านขาดสะบั้นออกไป จิตก็ตั้งมั่น สงบ เด่นดวงอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพยายามทำจิตให้สงบ ไม่ต้องทำจิตให้ตั้งมั่น ให้รู้ทันเวลามันไม่สงบ เวลามันไม่ตั้งมั่น พอรู้ทันแล้วสังเกตลงไป จิตยินดีให้รู้ทัน จิตยินร้ายให้รู้ทัน ถ้าเราถอดถอนความยินดียินร้ายเสียได้ ความดิ้นรนปรุงแต่งของจิตมันก็หยุด จิตมันก็สงบ ตั้งมั่น เด่นดวง เป็นกลาง ง่าย ง่ายมาก แต่ถ้าเราไม่รู้วิธี โอ๊ย ยาก อย่างจิตเราฟุ้งซ่าน ไปนั่งสมาธิไปเดินจงกรม เมื่อไรมันจะสงบ เขาฝึกสมาธิก็ฝึกกันเป็นสิบๆ ปี ถึงจะชำนิชำนาญ ไม่ทันกิเลสของคนรุ่นนี้ ฉะนั้นอาศัยสติรู้ทันลงไป จิตฟุ้งซ่าน รู้ทัน จิตยินร้ายต่อความฟุ้งซ่าน รู้ทัน แล้วจิตจะสงบเอง ตั้งมั่นเอง อันนี้คือการใช้ปัญญานำสมาธิ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 กันยายน 2566

Direct download: 660916.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660211_VT3_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660211_vt2.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

ธาตุดินไม่มีกิเลส เอาของสกปรกไปเทใส่ดิน ดินก็ไม่ว่าอะไร เอาน้ำหอมไปพรมใส่ดิน ดินก็ไม่ชื่นชมอะไร ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน เอาน้ำหอมไปใส่มัน มันก็ไม่ได้ชื่นชมอะไร คนที่ชื่นชมคือจิต เพราะฉะนั้นถ้าเรามองเห็นร่างกายเป็นเพียงธาตุดิน ไม่มีกิเลสในธาตุดิน ไม่มีความยินดียินร้าย ในธาตุดิน ในธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟก็เหมือนกัน ธาตุแต่ละธาตุนั้นไม่ได้มีกิเลส ไม่มีกิเลส แล้วก็ไม่มีเจ้าของด้วย ไม่ใช่ของเรา มันเป็นสมบัติของโลก ธาตุอีกตัวหนึ่ง ธาตุตัวที่ห้าคือ space อากาศธาตุ ช่องว่าง พวกเราดูไม่ค่อยได้หรอก ถ้าทรงสมาธิอยู่ ถึงจะพอดูได้ ธาตุ 4 ตั้งอยู่อย่างนี้ได้ เพราะมันจุอยู่ในช่องว่าง ช่องว่างเอง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เหมือนกัน ไม่มีกุศล อกุศลในช่องว่างนี้ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นดิน น้ำ ไฟ ลม ในช่องว่าง ไม่มีกุศล อกุศล เป็นของธรรมชาติ ธรรมดา ไม่มีเจ้าเข้าเจ้าของ ธาตุไม่ได้มีแค่ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศธาตุ ยังมีวิญญาณธาตุอีกตัวหนึ่ง วิญญาณธาตุของสัตว์ทั้งหลาย ไม่ได้สะอาดเหมือนดิน น้ำ ไฟ ลม แต่มันปนเปื้อนด้วยความปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันปนเปื้อนด้วยกิเลส ฉะนั้นเราก็จะค่อยภาวนา เพื่อซักฟอกจนกระทั่งธาตุวิญญาณธาตุนี้ เข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น หลุดพ้นจากความยึดมั่น ถือมั่นในสังขารทั้งปวง หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสังขารทั้งปวง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 กันยายน 2566

Direct download: 660910.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660211_vt1.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

การที่เราอ่านจิตตนเอง ไม่ใช่แค่จะได้สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ไม่ได้แค่สัมมาวายามะ แต่สติของเราจะเข้มแข็งมากขึ้นๆ ทีแรกต้องโกรธแรงๆ ถึงจะรู้ ต่อไปขัดใจเล็กๆ ก็เห็นแล้ว สติเราพัฒนาแล้ว ทีแรกต้องมีราคะรุนแรงถึงจะรู้ ต่อไปใจโลภนิดเดียว แค่อยากเห็นรูป ก็เห็นแล้ว อย่างเรานั่งอยู่ ได้ยินเสียงอะไรแว่วๆ เราอยากฟัง อยากหันหน้าไปดู เราก็รู้ทัน เรารู้ได้ละเอียดขึ้นๆ สติเราเร็วขึ้นๆ นั่นล่ะเป็นสัมมาสติ สามารถระลึกได้โดยที่ไม่ได้เจตนาระลึก ถ้าจงใจระลึกมันเจือด้วยโลภเจตนา สติตัวจริงไม่เกิดหรอก เพราะสติไม่เกิดร่วมกับอกุศล เพราะฉะนั้นเราจงใจให้มีสติ ตั้งใจให้มีสติ สติจะไม่เกิด สติเกิดจากเราคอยดูสภาวะไปเรื่อยๆ จิตจำสภาวะได้แล้วสติเกิดเอง อย่างเราไปเห็นโกรธบ่อยๆ ต่อไปพอโกรธปุ๊บ สติเกิดเองเลย รู้ทันว่าตอนนี้โกรธแล้ว รู้ทันว่าโลภแล้ว รู้ทันว่าหลงแล้ว รู้ทันว่าอยากขยับตัวแล้ว รู้ทันว่าอยากโน้นอยากนี้แล้ว คอยรู้ทัน นี้สติ ทุกครั้งที่สติเกิด สัมมาสติเกิด สัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วยเสมอ หลวงพ่อเริ่มที่เข้าใจสิ่งต่างๆ ขึ้นมานี้ เริ่มมาจากประโยคเดียว “อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” เห็นไหม การอ่านจิตตนเองครอบคลุมองค์มรรคทั้ง 8 ได้ การอ่านจิตตนเองนั้น คือการเรียนรู้ทุกข์นั่นเอง รู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อไรก็ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เกิดอริยมรรคอัตโนมัติ ไปฝึกเอา ไปทำเอา ไม่มีใครช่วยใครได้หรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 กันยายน 2566

Direct download: 660909.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660205_VQ_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660205_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

1 « Previous 1 2 3 4 5 6 7 Next » 89