ต้องฝึกสติให้ถูก ให้เป็นสัมมาสติจริงๆ ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง รู้สึก หัดรู้สึกเรื่อยๆ อย่างจิตเราหลงไปคิด เรามีสติรู้ เฮ้ย หลงคิดแล้ว มีคำว่า “แล้ว” ด้วย เพราะเวลาที่จิตหลงคิด ไม่มีสติอยู่แล้ว สติมาเกิดทีหลัง ตรงที่จิตมันจำสภาวะหลงคิดได้ พอจิตมันหลงคิดไป แล้วจิตมันจำได้ เฮ้ย สภาวะอย่างนี้ จิตที่ไหลๆ ออกไปอย่างนี้ มันหลง นี่มันหลงไปคิดแล้ว จิตมันจำสภาวะได้ สติเกิดปั๊บขึ้นมา สภาวะหลงคิดดับทันทีเลย สภาวะตั้งมั่นคือสัมมาสมาธิ ก็เกิดขึ้นทันที มีสติที่ถูกต้องก็จะมีสมาธิที่ถูกต้อง นี่ล่ะถ้าเราเจริญสติ อันแรกที่เราได้คือสติ อันที่สอง สมาธิ อันที่สาม ของสำคัญคือเราจะได้ปัญญา ปัญญาคือความรู้ถูกความเข้าใจถูก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 ตุลาคม 2567

Direct download: 671005.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 670921_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 670921_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 8:00am +07

Direct download: 670915_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 670915_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 8:00am +07

Direct download: 670914_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 670914_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 8:00am +07

สัมมาสติ คือสติที่ระลึกรู้รูปนามกายใจ หรือสติปัฏฐานนั่นเอง สัมมาสติเมื่อทำให้มาก เมื่อเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ เห็นไหมอาศัยการมีสติ จะทำให้สมาธิเราบริบูรณ์ ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา โดยที่ไม่ได้เจตนา ไม่ได้รักษา ไม่ได้ทำขึ้นมา การมีสติทำให้เรามีศีลบริบูรณ์ ให้มีสมาธิบริบูรณ์ขึ้นมา แล้วสัมมาสมาธิเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้การเจริญปัญญาเกิดขึ้น เรียกว่าทําให้เกิดสัมมาญาณะ เพราะฉะนั้นเราจะเดินปัญญาได้ จะต้องมีสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิจะเดินปัญญาไม่ได้จริง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 กันยายน 2567

Direct download: 670929.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ตราบใดที่ยังไม่เห็นทุกข์ ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดไม่เลิกหรอก ถึงจะอยากไม่เกิดมันก็ยังเกิด เพราะปัญญายังไม่พอ เราปล่อยวางสิ่งต่างๆ ได้ เราเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วถ้าเราเข้าไปยึด หรือเราเข้าไปอยาก มันจะนำความทุกข์มาให้ ฉะนั้นไม่เห็นทุกข์ก็วางไม่ได้ ปล่อยไม่ได้ พวกเราอยากเข้าถึงธรรมะที่ไม่ทุกข์ ที่ไม่เวียนว่ายตายเกิด เราต้องเห็นทุกข์เห็นโทษของสังสารวัฏให้ได้ ฉะนั้นต้องเห็นโทษ เห็นภัยของสังสารวัฏ รู้ว่ามีความเกิดทีไร ก็มีความทุกข์ทุกที ต้องขนาดนั้นถึงจะไม่เกิด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 กันยายน 2567

Direct download: 670928.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าสติ สมาธิเรายังไม่แข็งแรง ดูกายไป กายมันไม่เคยหนีไปไหน ดูไป จนมันเห็น ทีแรกเห็นถึงความมีอยู่ของมัน ทำไมมีกายแล้วไม่รู้สึกว่ากายมีอยู่ คือหลง ต่อไปก็ดูความจริงของกายคือไตรลักษณ์ พอดูไปๆ จิตมันเห็นความจริงแล้วว่ากายนี้มีแต่ภาระ มีความทุกข์บีบคั้นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก มีความทุกข์บีบคั้นอยู่ทุกๆ อิริยาบถ จะต้องเคลื่อนไหว ต้องขยับ หนีความทุกข์ไปเรื่อยๆ พอมันเห็นความจริงคือมันเห็นไตรลักษณ์ จิตมันจะเบื่อ จิตมันจะเบื่อหน่าย ร่างกายนี้ไม่ใช่ของดีอย่างที่เคยคิดแล้ว พอเบื่อหน่าย จิตก็หาทางทำอย่างไรจะพ้นไป แต่มันก็พ้นไม่ได้ มันมีร่างกายมาแล้ว จิตใจมันก็รู้ ภาวนาเรื่อยๆ โอ้ มีร่างกายอยู่ จะให้มันพ้นจากร่างกายมันทำไม่ได้หรอก จิตใจมันก็เข้าสู่ความเป็นกลาง พอจิตใจมันเข้าสู่ความเป็นกลาง กำลังเรามากพอ เราจะเห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเรา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 กันยายน 2567

Direct download: 670922.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เรารู้สึกลงไปในร่างกาย มีแต่ความไม่เที่ยง ทำไมมันไม่เที่ยง มันถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา นั่งนานก็ทุกข์ เดินนานก็ทุกข์ นอนนานก็ทุกข์ เพราะฉะนั้นร่างกายเปรียบเหมือนกวางตัวหนึ่ง หรืออีเก้งตัวหนึ่ง ถูกความทุกข์ คือหมาล่าเนื้อฝูงหนึ่งไล่ตามกัดทั้งวันเลย ก็ต้องวิ่งๆๆ หนีไป วิ่งหนีไปจนกระทั่งบาดเจ็บมาก วิ่งไม่ไหว ล้มลงตาย ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน ถูกความทุกข์กัดทำร้ายอยู่ตลอดวัน เราก็พยายามแก้ พยายามบำบัดไปเรื่อยๆ นั่งนานมันเมื่อย เราก็เปลี่ยนอิริยาบถ มันร้อนมาก เป็นทุกข์ พอความร้อนมากไปก็ไปอาบน้ำ เราพยายามแก้ไขเพื่อให้ร่างกายนี้อยู่รอด เหมือนกวางวิ่งหนีหมาล่าเนื้อ ความทุกข์มันไล่ขย้ำอยู่ตลอดเวลา หนีไม่พ้น สุดท้ายก็บาดเจ็บมากขึ้นๆ พออายุเยอะขึ้น บาดแผลเต็มตัวเลย หน้าตาของเราก็มีบาดแผล มีตีนกา หน้าเหี่ยว หน้าย่น เนื้อหนังอะไรนี้ก็ถูกสูบออกไปจนเหี่ยวๆ ไปหมดทั้งตัว เป็นร่องรอย เป็นความบอบช้ำ ที่โดนหมาของกาลเวลามันไล่ขย้ำเอา ดูไปเรื่อยๆ ร่างกายนี้ไม่มีสาระแก่นสาร เป็นของไม่เที่ยง เป็นของที่ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งหมดแรงหนีก็ตาย เหมือนกวางถูกหมาไล่กัด กัดไปหลายเขี้ยว หมดแรงจะวิ่งก็ล้มลงไป เขาก็เข้ามากินเนื้อเลย ร่างกายเรานี้ก็เหมือนกัน โดนความทุกข์ขย้ำอยู่ตลอดเวลา มีสติรู้ลงมาก็เห็นร่างกาย ไม่ใช่ของวิเศษหรอก ร่างกายนี้มีแต่ก้อนทุกข์ มีแต่ภาระที่ต้องดูแลรักษา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 21 กันยายน 2567

Direct download: 670921.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ที่ฟังหลวงพ่อนี่ก็เป็นปริยัติ เอาไปทำ ทำปฏิบัติสมถะให้จิตสงบ ทำสมถะให้จิตตั้งมั่น เจริญวิปัสสนาให้เห็นความจริง คือไตรลักษณ์ของรูปนามกายใจ ถัดจากนั้นมรรคผลจะเกิดเอง นี่เรื่องที่เราจำเป็นต้องเรียน ในขณะที่เราฟังอย่างนี้เราเรียนปริยัติ แล้วเราก็ลงมือปฏิบัติ แล้วตรงที่สำคัญมากเลยตอนที่เจริญปัญญา เราจะเรียนถึงสภาวธรรมจริงๆ รูปธรรมนามธรรม อันนี้ว่าไปก็คือการเรียนอภิธรรม แต่เป็นอภิธรรมภาคปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่อภิธรรมในตำรา อภิธรรมในตำราดีไหม ดี แต่ว่ายังล้างกิเลสไม่ได้ แล้วต้องให้เจออภิธรรมในภาคปฏิบัติ เช่น เห็นราคะเกิดแล้วก็ดับ ราคะเป็นอภิธรรมตัวหนึ่ง เป็นสภาวธรรมตัวหนึ่งก็อยู่ในอภิธรรมล่ะ เห็นโทสะเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นที่เรากำลังทำวิปัสสนานี่ เรากำลังเรียนอภิธรรมอยู่ แต่เป็นอภิธรรมภาคปฏิบัติ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 15 กันยายน 2567

Direct download: 670915.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ดูนามธรรมไม่ได้ ดูกายไป ดูกายแล้ว ใจมันไม่ลง มันไม่ชอบ ก็ดูเวทนาไป หรือบางคนดูเวทนาก็ไม่ชอบ ก็ดูสังขารไป ดูกรรมฐานที่เราถนัด ทางใครทางมัน ไม่ต้องเลียนแบบกัน ได้ยินว่าหลวงพ่อดูจิต แล้วคิดว่าทุกคนต้องดูจิต ไม่ใช่ คนส่วนใหญ่บางทีต้องเริ่มจากกายด้วยซ้ำไป เพราะกำลังไม่พอ สติไม่ว่องไวพอ จิตมันไว ร่างกายมันไม่ไว แต่จิตมันว่องไว จิตหนีเที่ยวอย่างรวดเร็ว ร่างกายไม่เคยหนีไปไหนเลย นั่งจุ้มปุ๊กอยู่นี่ หรือเดินก็เดินอยู่ด้วยกัน อยู่ตรงนี้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 กันยายน 2567

Direct download: 670914.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าต้องการให้จิตสงบ น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง ทำอันนี้ ทำไป เดี๋ยวสงบเอง ถ้าต้องการให้จิตตั้งมั่น มันจะเป็นสมาธิอีกชนิดหนึ่ง สมาธิที่จิตสงบอยู่เฉยๆ เรียกว่าอารัมมณูปนิชฌาน สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว อารมณ์เป็นตัวเอก แต่เลือกอารมณ์ที่อยู่แล้วมีความสุข แต่ถ้าเราอยากให้จิตตั้งมั่น มันเป็นสมาธิอีกชนิดหนึ่ง สามารถเห็นไตรลักษณ์ได้ เรียกลักขณูปนิชฌาน เห็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่คิดไตรลักษณ์ คิดไตรลักษณ์ไม่ใช่เลย ยังคิดเอา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร 10 กันยายน 2567

Direct download: 670910.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 670908_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 670908_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 8:00am +07

การดูจิตดูใจไม่ใช่เรื่องยาก แค่ย้อนมาสังเกตจิตใจตนเอง มีตา มีหู จมูก ลิ้น กาย ใจเหมือนกับคนอื่นนั่นล่ะ ก็ไม่ต้องแกล้งทำหูหนวกตาบอด ไม่ต้องทำจิตให้นิ่งๆ ไม่คิดไม่นึก ก็ให้จิตมันทำงานไปตามธรรมชาติธรรมดา มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีใจก็คิด ให้มันทำงานไป พอตาเห็นรูป เราก็ไม่แทรกแซงจิตว่าจิตต้องเฉย ห้ามยินดียินร้ายอะไร ไม่ต้อง ตาเห็นรูปแล้วจิตเกิดยินดียินร้ายตรงนี้ เกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดดีเกิดชั่ว รู้ทันตรงนี้ ไม่ยากที่จะรู้ แต่ละเลยที่จะรู้ เพราะมัวแต่สนใจของข้างนอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 กันยายน 2567

Direct download: 670908.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 670907_VT2__2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 670907_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 8:00am +07

เราก็ต้องรู้ว่า เราจะทำสมาธิเพื่ออะไร ทำสมถะเพื่ออะไร เพื่อให้มีแรง เพื่อให้จิตตั้งมั่น ตอนไหนจิตไม่มีแรง น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญที่ตัวอารมณ์ จิตก็จะมีกำลัง เพราะจิตไม่ได้วิ่งวอกแวก ไปที่อารมณ์โน้นทีอารมณ์นี้ที เพราะจิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว จิตก็ได้พักผ่อน จิตก็เลยมีแรง วิธีทำให้จิตตั้งมั่นก็คือ อาศัยสติรู้เท่าทันพฤติกรรมของจิต อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วจิตมันหนีไปคิด รู้ทันว่าจิตหนีไปคิด ไม่ได้น้อมจิตไปหาลมหายใจ ไม่ได้น้อมจิตไปที่พุทโธ แต่รู้ทันจิต ฉะนั้นสมาธิ 2 อันนี้ไม่เหมือนกัน อย่างแรกที่ทำเพื่อความสงบนั้น ตัวอารมณ์เป็นพระเอก อย่างที่จะฝึกให้จิตตั้งมั่นนั้น ตัวจิตเป็นพระเอก 2 อันนี้จะแตกต่างกัน ผลที่ได้ก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นเราคอยรู้เท่าจิตของตัวเอง ทำกรรมฐานไป อะไรก็ได้ที่เราถนัด แล้วคอยรู้ทันจิตตนเอง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 กันยายน 2567

Direct download: 670907.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พอจิตตั้งมั่นและเป็นกลาง ก็จะเกิดปัญญาเห็นความจริงของร่างกายของจิตใจ เมื่อเห็นความจริงของร่างกายของจิตใจอย่างถ่องแท้แล้ว จะรู้เลยขันธ์ 5 มันไม่มีอะไรหรอก ขันธ์ 5 ก็มีแต่ทุกข์นั่นล่ะ รูปนาม กายใจนี่มีแต่ทุกข์นั่นล่ะ พอใจมันยอมรับความจริงได้ ความอยากก็ไม่เกิด เมื่อความอยากไม่เกิด ความยึดถือ ความดิ้นรนปรุงแต่งของจิตก็ไม่เกิด ความทุกข์ทางใจก็ไม่เกิด จิตใจมันเป็นอิสระขึ้นมา พ้นทุกข์เพราะพ้นจากความปรุงแต่ง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 กันยายน 2567

Direct download: 670901.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราปรารถนาความสุขในชีวิต เราต้องรู้ว่าความสุขอย่างโลกๆ มันสุขหลอกๆ มันสุขเพื่อให้เราทุกข์ต่อไป สุขหลอกๆ ให้เรามีแรงที่จะวิ่งพล่านๆ ตามกิเลสตัณหาต่อไป แล้วความสุขที่ประณีตกว่านั้น คือความสุขของสมถกรรมฐาน ความสุขของการทำวิปัสสนากรรมฐาน ความสุขเมื่อเกิดอริยมรรค เกิดอริยผล ความสุขเมื่อจิตทรงพระนิพพาน มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางเรื่อยๆ ไป แล้วสติปัญญาจะค่อยพัฒนาแก่กล้าขึ้น ใจจะปล่อยวางจางคลายจากโลกมากขึ้นๆ พอใจมันคลายตรงนี้ มันจะรู้เลยว่า ในโลกนี้ไม่มีสาระ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราถูกหลอกให้วิ่งพล่านๆ แสวงหาสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อวันหนึ่งจะสูญเสียมันทั้งหมดไป ใจฉลาดขึ้นมา ใจมีปัญญาขึ้นมา ใจก็ค่อยสงบ ใจมีความสุข หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 สิงหาคม 2567

Direct download: 670831.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

Direct download: 670825_VT1__4.mp3
Category:short clips -- posted at: 8:00pm +07

Direct download: 670901_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 670901_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 4:00pm +07

1 « Previous 4 5 6 7 8 9 10 Next » 113