Direct download: 660108_VT2.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660108_VT1__.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660107_VQ_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660107_VT2__.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660107_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660101_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 10:08pm +07

Direct download: 660101_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 10:07pm +07

เราตั้งอกตั้งใจฝึกตัวเอง ถือศีล 5 ทุกวันทำในรูปแบบ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วก็คอยรู้ทันจิตตนเอง อย่าเพ่ง อย่าจ้อง แค่รู้ทันจิต จิตหนีไปคิด รู้ จิตถลำไปเพ่ง รู้ เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน เจริญสติในชีวิตประจำวันก็คือ มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส มีกายก็รู้สัมผัส มีใจก็คิดนึกได้ ไม่ใช่ห้ามคิด แต่เมื่อกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว จิตใจเรามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ให้รู้ เกิดกุศลให้รู้ เกิดอกุศลให้รู้ หรือจิตไปทำงานทางตาให้รู้ ไปทำงานทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้รู้ รู้เท่าที่รู้ได้ ไม่ต้องรู้เยอะอย่างที่หลวงพ่อบอก เอาเท่าที่เรารู้ได้ นี่ล่ะงาน 3 ตัว ถือศีล 5 ทำในรูปแบบ แล้วคอยสังเกตจิตตนเอง งานที่ 3 คือเจริญสติในชีวิตประจำวัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ แล้วมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นที่จิตให้รู้ทัน ถ้าทำ 3 ประการนี้ได้ มรรคผลนิพพานไม่อยู่ไกลเราหรอก ไม่ได้อยู่ไกลแล้ว ไม่เกินเอื้อม ขอให้ทำให้ต่อเนื่อง อดทน ฟังธรรมะพอเข้าใจ พอรู้หลักแล้ว สิ่งสำคัญมากคืออดทน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 สิงหาคม 2566

Direct download: 660812.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651231_VT2__.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651231_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

บางคนนั่งสมาธิ จิตรวม นั่งทีเดียวยันสว่างเลย นั่งได้ 10 ชั่วโมง แล้วก็อยู่เฉยๆ อย่างนั้น ไม่ได้มีการเจริญปัญญาอะไร ออกจากสมาธิมา จิตมันติดใจในความสุขความสงบของสมาธิ ไม่เห็นว่ามันเป็นราคะ หรือพอติดในความสุขความสงบของสมาธิแล้ว ออกมากระทบอารมณ์นิดเดียวระเบิดเลย โทสะพุ่งกระฉูดเลย ฉะนั้นไปทำให้นิ่งๆ เฉยๆ อยู่ ไม่ล้างกิเลสหรอก ตกเป็นเครื่องมือของกิเลสอีก ฉะนั้นตัวที่จะสู้กิเลสล้างกิเลสได้จริงคือตัวปัญญา ตัวความรู้ถูกความเข้าใจถูก พระพุทธเจ้าบอกบุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ปัญญาก็คือเห็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ ถึงจะเป็นปัญญาระดับที่สู้กิเลสได้ เรียกว่าวิปัสสนาปัญญา ถึงจะสู้กิเลสได้จริง วิปัสสนะ แปลว่า การเห็น เห็นอย่างถูกต้อง วิ แปลว่าเห็นแจ้ง แปลว่าแจ่มแจ้ง ปัสสนะ แปลว่าการเห็น เห็นอย่างแจ่มแจ้ง เห็นกายเป็นไตรลักษณ์ เห็นจิตใจเป็นไตรลักษณ์ นั่นล่ะเรียกว่าเห็นแจ่มแจ้ง อันนั้นล่ะถึงจะเป็นวิปัสสนา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 สิงหาคม 2566

Direct download: 660806.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 10:05pm +07

Direct download: 651225_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651225_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

ภาวนาอย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวลำบาก อดทนเอา แต่ว่าดูตัวเอง ถ้ากิเลสของเราเป็นพวกกิเลสเบาบาง ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติโหดๆ ถ้าพวกกิเลสหนา ราคะแรง โทสะแรง หรือโมหะแรง พวกนี้ต้องทุกขาปฏิปทา อดนอน ผ่อนอาหาร นั่งสมาธิ เดินจงกรม ให้ห้าวหาญ สู้ตาย ถ้ารอดมาก็จะได้ดี แต่บอกให้อย่างหนึ่ง ไม่เคยมีใครนั่งสมาธิแล้วตายหรอก ไม่เคยมีใครปฏิบัติแล้วตายหรอก เพราะฉะนั้นอ่อนแอไม่ได้ ดูตัวเองเลย ถ้าเป็นคนที่กิเลสรุนแรง อดทนไว้ ขยันนั่งสมาธิ ขยันเดินจงกรม นั่งสมาธิก็สังเกตกาย สังเกตใจไว้ นั่งสมาธิแล้วสังเกตไป เออ ร่างกายมันเป็นตัวเจ็บ แต่ร่างกายมันไม่บ่น ตัวที่บ่นคือจิต จิตมันไม่ยอมรับว่ากายนี้เป็นตัวทุกข์ จิตมันเลยทุรนทุราย พอรู้ทันจิต จิตมันก็เป็นกลาง พอจิตมันเป็นกลาง จิตไม่มีความทุกข์ จิตก็รวมเข้าสมาธิเลย วูบเดียว 2 ชั่วโมง ไม่แปลก บางทีเข้าทีเดียวยันสว่างก็มี คือถ้าจิตใจเราสบาย นั่งสมาธิแป๊บเดียวก็สงบแล้ว ถ้าจิตใจเรากระสับกระส่าย โอ๊ย ไม่ชอบเลย ปวดอย่างนี้ มันไปนั่งได้อย่างไร เมื่อไรจะหาย นั่งสมาธิพอขาปวด ไม่ใช่นั่งเพื่อให้ขาหายปวด แต่นั่งเพื่อให้ใจยอมรับ ใจเป็นกลาง ร่างกายมันปวด ใจไม่ได้ปวดด้วย ใจก็เป็นกลาง สบาย พอใจเป็นกลาง สมาธิมันก็เกิด สมาธิเกิดบางทีก็พักผ่อนอยู่เฉยๆ บางทีก็เดินปัญญาต่อได้เลย ก็เห็นนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป ปัญญามันเกิด บางทีก็ได้มรรคได้ผลไปเลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 สิงหาคม 2566

Direct download: 660805.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ตรงที่คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จิตมีปีติ มีความสุข มีสมาธิเกิดขึ้น แล้วถ้าเราพัฒนาต่อไป เราคอยสังเกตจิตใจเรา มีสติกำกับอยู่ที่จิตเรื่อยๆ ไป ต่อไปจิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา อย่างที่หลวงพ่อเคยทำ หลวงพ่อทำอานาปานสติแล้วรู้ทันจิต ไม่ได้ทำเพื่อสงบ เพื่อสุข เพื่อดีอะไรทั้งสิ้น ทำอานาปานสติ หายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก พอจิตมันหลงไป รู้ทันว่าจิตหลง จิตไปเพ่งลมหายใจ รู้ว่าจิตเพ่ง จิตก็เลยไม่เผลอ จิตก็เลยไม่เพ่ง จิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงอยู่ในทางสายกลาง พอจิตเราอยู่ในทางสายกลางได้ เราก็เดินปัญญา แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นร่างกายกับจิตคนละอัน เห็นเวทนากับจิต เป็นคนละอัน เห็นสัญญา สังขาร กับจิตเป็นคนละอัน เห็นจิตเกิดดับทางทวารทั้ง 6 หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป อันนั้นขั้นเจริญปัญญา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 สิงหาคม 2566 (ช่วงบ่าย)

Direct download: 660801B.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651223_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

สิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าสอนพระปัญจวัคคีย์ ในพระสูตรพูดไม่กี่ประโยคว่า มีสิ่ง 2 สิ่ง มีธรรม 2 อย่าง ที่บรรพชิตคือผู้ปฏิบัติไม่ควรเสพ คือกามสุขัลลิกานุโยค แล้วก็อัตตกิลมถานุโยค ท่านพูดสั้นๆ พอเราเข้าสู่ทางสายกลางได้แล้ว ทำอย่างไร ท่านก็ให้เรียนรู้ สิ่งที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 เวลาจะปฏิบัติ ท่านสอนสัมมาทิฏฐิ อันนี้สัมมาทิฏฐิภาคปริยัติ เสร็จแล้วเราก็ลงมือปฏิบัติ ดูแลความคิดของเรา อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด คำพูด การกระทำ คอยรู้ไปเรื่อยๆ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็จะดี การที่เรามีสติคอยสังเกตจิตใจเรา อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด นั่นก็คือการเจริญสติ เป็นสัมมาสติ แล้วสัมมาสติ เมื่อเราทำถูกต้อง ไม่ได้บังคับให้รู้ สติที่ถูกต้องเกิด ไม่ได้เจตนาระลึก ระลึกได้เอง สัมมาสติเมื่อทำให้มาก ก็จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ จิตมันจะเข้าฐาน ตั้งมั่น เด่นดวงขึ้นมา สัมมาสมาธิที่บริบูรณ์ ทำให้มากทำให้เจริญ จะทำให้สัมมาญาณะบริบูรณ์ขึ้นมา สัมมาญาณะคือการรู้ถูก เข้าใจถูก คือวิปัสสนาญาณทั้งหลายนั่นเอง เมื่อสัมมาญาณะบริบูรณ์ สัมมาวิมุติ คือมรรคผลนั้นจะเกิดเอง ไม่มีใครทำให้เกิดได้ ไม่มีใครสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลได้ จิตบรรลุมรรคผลของจิตเอง เมื่อศีล สมาธิ ปัญญานั้นบริบูรณ์ เมื่อองค์มรรคทั้ง 8 นั้นบริบูรณ์ แล้วตัดสินความรู้กันในชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น นี่คือใจความธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 สิงหาคม 2566 (ช่วงเช้า)

Direct download: 660801A.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651223_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

ถ้าใครเขาถามเราว่าจะดูอะไรก่อนในการเริ่มลงมือปฏิบัติ คำตอบคือดูตัวเอง เราเป็นคนชนิดไหน แล้วก็เลือกกรรมฐานที่มันพอเหมาะพอดีกับตัวเรา หรือเวลาเราจะเดินวิปัสสนา เราจะดูอะไรก่อน เราก็ดูตัวเองก่อน เรามีจริตแบบไหน จริตของคนทำสมถะมี 6 จริต ราคจริต โทสจริต โมหจริต พุทธิจริต สัทธาจริต วิตกจริต มี 6 จริตเพื่อการทำวิปัสสนานั้นมี 2 จริต คือตัณหาจริตกับทิฏฐิจริต ตัณหาจริตคือพวกรักสุขรักสบาย รักสวยรักงาม ทิฏฐิจริตคือพวกช่างคิด ชอบวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ มีอะไรหน่อยหนึ่งก็คิดแล้วคิดอีกอยู่นั่น ค่อยๆ ดู กรรมฐานมีเยอะแยะไปหมด เลือกเอาที่เหมาะกับตัวเรา ถ้าเป็นพวกตัณหาจริต พวกรักสุขรักสบาย รักสวยรักงาม ดูกายหรือเวทนาทางกายไป ถ้าเป็นพวกเจ้าความคิดเจ้าความเห็นอะไรนี่ ก็ดูจิตตานุปัสสนา ดูจิตกับเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน 2 อันนี้เหมาะกับพวกทิฏฐิจริต ฉะนั้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มันเหมาะกับพวกตัณหาจริต พวกรักสุขรักสบาย รักสวยรักงาม จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน กับธัมมานุปัสสนา มันเหมาะกับทิฏฐิจริต พวกเจ้าความคิดเจ้าความเห็น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช 30 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660730.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 651218_VQ.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651218_VT2.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 651218_VT1.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

บางคนชอบสมาธินำปัญญา ก็เรียนวิธีปฏิบัติแบบสมาธินำปัญญาไป บางคนชอบเจริญปัญญาในฌาน ก็ทำสมาธิกับปัญญาควบกัน ส่วนพวกปัญญานำสมาธิ ทำสมาธิเบื้องต้นระดับขณิกสมาธิ ใช้กำลังของขณิกสมาธิ มาเรียนรู้รูปนาม หลวงพ่อดูพวกเรา คนรุ่นนี้ ให้ไปนั่งเข้าฌานมันเข้าไม่ไหว อย่าว่าแต่โยมเลย พระที่เข้าฌานได้ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่ค่อยมีหรอก ส่วนมากก็นั่งสมาธิ ก็เคลิ้มง่อกแง่กๆ ไป ไม่ก็นั่งเพ่งจนเคร่งเครียดไป คนรุ่นหลังทำสมาธิไม่ค่อยเป็น เวลาจะทำสมาธิ มันกลายเป็นมิจฉาสมาธิเสียหมดเลย มันมีหลายเส้นทาง แต่เส้นทางที่เราควรเดิน ก็คือเส้นทางที่เราเดินได้ เส้นทางที่เราเดินได้ ก็คือเส้นทางของปัญญานำสมาธิ คนรุ่นนี้เป็นพวกปัญญาชนเยอะ คนใช้ปัญญา แต่การเดินด้วยปัญญา ต้องมีขณิกสมาธิเสียก่อน สมาธิที่เป็นขณะๆ นั่นล่ะ พอมีสมาธิทีละขณะถี่ๆ ขึ้นมา จิตก็มีกำลัง รู้ตื่นเบิกบานขึ้นมา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660729.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

ถ้านิมิตใดๆ เกิด ไม่ต้องไปค้นคว้าว่าจริงหรือปลอม ให้ย้อนกลับมาที่จิตตนเอง นิมิตนั้นจะเสื่อมสลายไปหมดเลย อย่างเวลาเรานั่งสมาธิอยู่ แล้วเราเห็นเทวดามาเยอะแยะอย่างนี้ เราอย่ามัวไปดูเทวดา ย้อนมาที่จิต จิตสงสัยว่าจริงหรือปลอม พอเราเข้าถึงจิตแล้วกลับย้อนออกไปดู อันนี้เป็นศิลปะที่เราไม่แนะนำให้ฝึก แต่ว่ามันออกไปรู้ ถ้าเป็นนิมิตปลอม มันจะหายไปหมดแล้ว นิมิตปลอมจะดับหมด ในทันทีที่เราย้อนเข้ามาที่จิตตนเอง ฉะนั้นเวลานิมิตเกิด ย้อนมาที่จิตตนเองก่อน แล้วถ้าจะต้องการรู้ข้างนอก ค่อยกลับออกไปรู้ ถ้าเป็นของจริงก็ยังอยู่ ถ้าเป็นของเก๊ก็หายหมด แต่ว่าไม่มีสาระอะไร รู้ว่าเทวดาจริงๆ มา แล้วมันได้อะไร ได้มานะอัตตา กูใหญ่ กูเก่ง โหย เทวดายังมาไหว้กู มีแต่เรื่องกิเลส ฉะนั้นอย่าไปหลงนิมิต ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นให้ย้อนเข้าที่จิตตนเองไว้ จับหลักให้แม่น ปลอดภัยที่สุด กัลยาณมิตร ไม่รู้ว่าใครเป็นกัลยาณมิตร สิ่งที่จะช่วยเราได้คือโยนิโสมนสิการ การแยบคายในการสังเกตตัวเอง ฉะนั้นนิมิตเกิดขึ้นก็แยบคาย ย้อนเข้ามาที่จิตตนเอง อย่าทิ้งจิตตนเอง แล้วจะไม่พลาด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660723.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

ในปฏิจจสมุปบาทนั้นจะมีสภาวธรรม 3 ลักษณะ อันแรกเป็นส่วนของกิเลส ต่อมาเป็นส่วนของกรรม คือพฤติกรรมของจิตนั่นล่ะ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นตัววิบาก เป็นผล มีกิเลส มีกรรม มีวิบาก ในปฏิจจสมุปบาทนั้น วนเวียนอยู่ในเรื่องเหล่านี้ ลึกที่สุดอะไรเป็นกิเลส อวิชชาเป็นกิเลส อวิชชาเป็นหัวโจก เป็นหัวหน้าของกิเลส คือความไม่รู้แจ้งอริยสัจเป็นหัวโจก แล้วอวิชชาก็ทำให้ผลักดันให้เกิดการกระทำกรรม การกระทำกรรมตัวนี้เรียกว่าสังขาร “อวิชชา ปัจจยา สังขารา” อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร สังขารเป็นการกระทำกรรมของจิตแล้ว เพราะมีสังขารก็เกิดวิบาก มีการกระทำกรรมแล้วก็เกิดวิบาก อะไรบ้างที่เป็นวิบาก ตัวจิต ตัววิญญาณ ที่หยั่งลงสู่ความรับรู้อารมณ์เป็นวิบาก ตัวอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นวิบาก ตัวผัสสะ การกระทบอารมณ์เป็นวิบาก เราเลือกไม่ได้ว่าจะกระทบอารมณ์ดี หรืออารมณ์ไม่ดี ถ้าอกุศลวิบากให้ผลมา เรากระทบอารมณ์ไม่ดี กุศลวิบากให้ผลมา เราก็กระทบอารมณ์ดี ผัสสะเป็นวิบาก ถัดจากนั้นก็เกิดเวทนาขึ้นอัตโนมัติ เวทนาก็เป็นวิบาก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 กรกฎาคม 2566

Direct download: 660722.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

1 « Previous 2 3 4 5 6 7 8 Next » 89