ถ้าเราภาวนา เดินอยู่ในแนวทางอย่างที่หลวงพ่อบอก ทีแรกฝึกให้จิตตั้งมั่นและก็เป็นกลางด้วยสติ ทำกรรมฐานไปแล้วมีสติรู้ทันจิตไป รู้ทันใน 2 ระดับ อันแรกรู้ทันว่ามีอะไรเกิดขึ้น อันที่สอง รู้ทันความยินดียินร้ายของจิต จิตจะตั้งมั่นและเป็นกลาง เราจะได้สัมมาสมาธิที่เต็มที่แล้ว ถัดจากนั้นเราเจริญปัญญา สติระลึกรู้กายด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง สติระลึกรู้เวทนาด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง สติระลึกรู้สังขารด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง สติระลึกรู้จิตด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ต่อไปมันก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่ได้น่ารักน่าหวงแหน ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีและชั่วเสมอกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ พอมันยอมรับว่าทุกอย่างเสมอกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ จิตจะยุติการดิ้นรนทันทีเลย เรียกยุติสังขารหรือยุติการสร้างภพ สังขารในใจเราคือภพ เรียกว่าภพ เรียกว่ากรรมภพ พอไม่มีความดิ้นรนอันนี้ จิตก็หมดภาระ จิตก็เป็นอิสระต่อสังขาร จิตที่เป็นอิสระต่อสังขาร เรียกว่าวิสังขาร จิตที่ไม่หลงตามกิเลสตัณหาทั้งหลาย เรียกว่าวิราคะ วิราคะก็ชื่อของนิพพาน วิสังขารก็ชื่อของนิพพาน วิมุตติ จิตหมดความยึดถือในรูปนาม ก็เป็นความหมายของนิพพานนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อไรจิตเราสิ้นตัณหาเมื่อนั้นเราก็สัมผัสพระนิพพาน เมื่อไรจิตเราพ้นจากความปรุงแต่ง จิตเราก็สัมผัสพระนิพพาน เมื่อไรจิตปล่อยวางรูปนามขันธ์ 5 ได้หมด ปล่อยวางจิตได้ จิตก็สัมผัสพระนิพพาน ฉะนั้นค่อยๆ ภาวนา เบื้องต้นก็เป็นกลางด้วยสติ ได้สมาธิเกิดขึ้น เบื้องปลายเป็นกลางด้วยปัญญา ก็จะได้วิมุตติ ได้ความหลุดพ้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช 17 กันยายน 2566

Direct download: 660917.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07