พวกเราก็ได้อาศัยสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน มาพัฒนาใจตัวเอง อยู่กับปัจจุบันไป ดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงานไป ไม่ให้ใจฟุ้งซ่าน ลืมกายลืมใจไปเรื่อย พอลืมกายลืมใจแล้วจิตมันไปไหน จิตมันไปอดีต ไประลึกชาติ เช่น เมื่อปีกลายเราเป็นอย่างนี้ เมื่อปีโน้นเราเป็นอย่างนี้ เรารู้จักคนโน้นคนนี้ ตอนนี้หายไปไหนหมดแล้ว ตายไปหมดแล้ว จิตไม่อยู่กับปัจจุบัน จิตมัวแต่ระลึกชาติ คิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่เคยผ่านมาแล้ว หรือจิตคำนึงไปถึงอนาคต กังวลในอนาคตจะทำอย่างไรๆ กลัวความทุกข์ในอนาคต หรืออยากมีความสุขในอนาคต จนลืมกลัวความทุกข์ในปัจจุบัน ลืมที่จะรู้จักความสุขในปัจจุบัน ห่วงอนาคตจนทิ้งปัจจุบัน อนาคตมันเหมือนความฝัน ปัจจุบันมันเป็นความจริง มัวแต่ห่วงความฝันแล้วทิ้งความจริง ไม่จัดว่าฉลาด หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 ตุลาคม 2564

Direct download: 641009.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

อาศัยมีสติรู้พฤติกรรมของจิตตัวเองเรื่อยๆ ไป เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวชั่ว รู้ไป จิตไม่เป็นกลาง ยินดียินร้ายขึ้นมา ยินดีต่อความสุข ยินร้ายต่อความทุกข์ ยินดีต่อกุศล ยินร้ายกับอกุศล รู้ทัน จิตจะเป็นกลางด้วยสติ พอรู้เรื่อยๆ ไป ต่อไปก็เป็นกลางด้วยปัญญา รู้ว่าสุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่ว เสมอภาคกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ มันจะเป็นกลางด้วยปัญญา พอเป็นกลางด้วยปัญญา จิตจะหมดความดิ้นรนปรุงแต่ง จิตจะพ้นจากภพ แล้วสัมผัสพระนิพพาน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 ตุลาคม 2564

Direct download: 641003.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

กฎของการดูจิต ข้อหนึ่ง ให้สภาวะเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยรู้ว่ามีสภาวะเกิด ข้อสอง ระหว่างดูสภาวะไม่ถลำลงไปดู ดูแบบคนวงนอก ข้อสาม เมื่อรู้สภาวะแล้ว จิตหลงยินดีให้รู้ทัน จิตหลงยินร้ายให้รู้ทัน จิตก็เป็นกลาง ไม่ยินดี ไม่ยินร้ายกับสภาวะ สุขหรือทุกข์ก็เท่าเทียมกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ ดีหรือชั่วก็เท่าเทียมกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ เราจะเห็นถึงไตรลักษณ์ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 ตุลาคม 2564

Direct download: 641002.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

อาศัยนาทีสุดท้าย ช่วงสุดท้ายของชีวิตเจริญสติไว้ หัดแยกขันธ์ไปเรื่อยๆ ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง ความเจ็บปวดอยู่ส่วนหนึ่ง ดูไป ความเจ็บป่วยกับร่างกายมันคนละอันกัน ความเจ็บปวดกับจิตก็เป็นคนละอันกัน จิตเป็นคนรู้ว่าเจ็บปวด จิตไม่เคยเจ็บปวดหรอก จิตมันมีแต่กิเลสรุมเร้าเอา มันคนละส่วน กิเลสก็ไม่ใช่ความเจ็บปวด เราค่อยๆ แยกไป แยกขันธ์ไปเรื่อยๆ แล้วเราจะเหลือแต่ความเจ็บปวดจริงๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับร่างกาย ร่างกายไม่ได้เจ็บ เพียงแต่ความเจ็บมันมาอาศัยอยู่ในร่างกาย แล้วจิตใจก็ไม่ได้เจ็บไปด้วย จิตใจเป็นคนรู้คนดู ถ้าเราสามารถรักษาจิตใจให้เป็นคนรู้คนดูได้ จิตของเราดีแล้ว ถ้าตายไปอย่างไรก็ไปสุคติ เพราะเรามีสติรักษาจิตเอาไว้ได้อย่างดีแล้ว เป็นกุศลอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 กันยายน 2564

Direct download: 640926.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

อยู่ตรงไหนก็มีธรรมะ หัดมองให้เป็นแล้วจะเห็นธรรมะ ธรรมะอยู่กับโลกก็อยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว อยากพ้นโลกไปก็จะเห็นว่าตัวเราไม่มีหรอก มีแต่รูปธรรมนามธรรม ค่อยๆ ฝึกไป แล้วเราก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเดินให้เราดู เราไหว้พระพุทธรูปเรานึกถึงพระพุทธเจ้า แต่เดิมท่านก็มีกิเลสท่านก็เคยทำความผิด ทำไมท่านเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยธรรมะอันใด ถ้าเราเดินอยู่ในธรรมะอันนั้น วันหนึ่งเราก็ไปเหมือนท่านได้ สอนตัวเองไปอย่างนี้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 กันยายน 2564

Direct download: 640925.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 10:00am +07

จับหลักให้แม่นๆ แล้วลงมือทำ จะได้ไม่พลาด ที่ภาวนาแล้วใช้เวลานานมาก เพราะภาวนาผิด ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของกระจอก ถ้าทำถูกแล้วทำพอ เราจะได้ผลในเวลาอันสั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ลัดสั้นไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทำกันนาน มองไม่เห็นผล ไม่เห็นฝั่ง ทำไปเรื่อยๆ ไม่รู้เหตุรู้ผล ไม่ใช่ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจริงๆ หรอก ยิ่งพระพุทธเจ้าเราเป็นปัญญาธิกะ ท่านเดินมาด้วยปัญญา ใช้สังเกตค้นคว้าพิจารณาเอาจนได้หลัก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 กันยายน 2564

Direct download: 640919.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

มีร่างกายนี้ก็สร้างความดีไปเรื่อยๆ เรียกว่าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีให้มีคุณค่า เป็นคนดี แล้วถ้าจะดีกว่านั้นอีก เอาร่างกายมาภาวนา มาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำสมถะ ทำวิปัสสนา อาศัยร่างกายทั้งนั้น มีสติระลึกรู้ลงไปในร่างกาย มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู คือจิตทรงสมาธิที่ถูกต้อง มีสติระลึกรู้ลงในร่างกาย ไหนๆ ก็มีร่างกายแล้ว แทนที่จะให้มันเป็นเครื่องมือของกิเลส เอามันมาใช้เป็นเครื่องมือผลิตสติผลิตปัญญาของเรา เราใช้ทรัพยากรใช้กรรมเก่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 18 กันยายน 2564

Direct download: 640918.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

เวลาเราภาวนาแล้วเกิดข้อสงสัยขึ้นมา ไม่ต้องไปคิดมาก แขวนข้อสงสัยไว้ แล้วภาวนาของเราไปเรื่อยๆ มันจะรู้สักวันหนึ่ง จะนานเท่าไหร่ก็ช่างมัน เราภาวนาของเราไป ถึงจุดหนึ่งมันก็เข้าใจขึ้นมา ตรงที่จิตมันทรงสมาธิขึ้นมา ปัญญามันจะเกิด ฉะนั้นการภาวนา ไม่ใช่การมานั่งถามครูบาอาจารย์ตลอดเวลา แต่ปฏิบัติไป ถ้าจิตมันมีสติ จิตมันมีสมาธิ แล้วปัญญามันเกิด มันตอบปัญหาได้เอง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กันยายน 2564

Direct download: 640912.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราหัดภาวนาไปเรื่อยๆ ถ้าเราเข้าใจธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ เจริญแล้วเสื่อมในทุกด้าน สุขได้ก็ทุกข์ได้ ดีได้ก็ชั่วได้ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ นี้คือธรรมะประจำโลก คือธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ ถ้าใจยอมรับว่าโลกต้องเป็นอย่างนี้ ตัณหามันจะไม่เกิด แล้วยิ่งถ้าเราภาวนาได้ประณีตลึกซึ้ง เรารู้ว่ารูปนามกายใจของเรานี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมดความยึดถือในรูปนามกายใจ คราวนี้เราจะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 กันยายน 2564

Direct download: 640911.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเต็มไปด้วยเหตุกับผล ทำเหตุอย่างนี้ มีผลอย่างนี้ ทำเหตุดี มีผลดี ทำเหตุชั่วก็มีผลชั่ว ผลชั่วก็เป็นผลของความทุกข์ เวลาเราจะแก้ปัญหาหรือแก้ทุกข์ เราเลยไม่ได้ไปแก้ที่ตัวปัญหาหรือตัวทุกข์ แก้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับ สิ่งนั้นถึงจะดับ ไปแก้ตัวผลไม่ได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 กันยายน 2564

Direct download: 640905.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ในโลกไม่มีบ้านที่แท้จริง ถ้าเราภาวนาเราจะเห็น บ้านที่แท้จริงของเราคือพระนิพพาน ถ้านอกนั้นยังเป็นที่ที่ไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน ต้องหมุนเวียนอยู่ ใจที่มันไม่หลงโลกมันเตือนตัวเอง บ้านนี้ก็ชั่วคราว คนที่เราอยู่ด้วยรอบๆ ตัวเราก็อยู่กันชั่วคราว จะรักหรือจะเกลียดก็อยู่ชั่วคราว อะไรๆ ในโลกเห็นมันเป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย ทั้งวัตถุสิ่งของทั้งผู้คน สุดท้ายกระทั่งร่างกาย สติปัญญามันสอดส่องลงมาในร่างกาย ร่างกายเป็นบ้านของจิต บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านชั่วคราว หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 4 กันยายน 2564

Direct download: 640904.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การปฏิบัติธรรมคือการลงทุนให้กับชีวิตตัวเอง อยู่กับโลกเราก็ลงทุนทำมาหากิน ทำธุรกิจ หวังว่าจะมีอยู่มีกิน จะมีความสุข แต่ความสุขในโลกมันไม่ยั่งยืน อย่างพวกเราหาทรัพย์สมบัติหาอะไรไว้มากมาย ในเวลาไม่กี่สิบปีมันก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป เหมือนเราหลับเราฝันอยู่ เมื่อตื่นขึ้นมาทุกอย่างในความฝันมันก็หายไปหมด ธรรมะนี้ให้ประโยชน์ ให้ความสุขกับเรามากที่สุด เป็นความยั่งยืนในชีวิตเรา ถ้าเราลงมือปฏิบัติแล้วอยู่กับเราตลอดชีวิต พอเราลงมือทำลงมือปฏิบัติ ทำทาน รักษาศีล ฝึกสมาธิ เจริญปัญญา ให้เห็นความจริงของรูปนามกายใจ เมื่อเราเข้าใจความจริงของกาย เราจะไม่ทุกข์เพราะกาย ถ้าเราเข้าใจความจริงของจิตใจ เราจะไม่ทุกข์เพราะจิตใจอีกต่อไป หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 สิงหาคม 2564

Direct download: 640827.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

“ภาวนา อย่าทำตัวเองให้ลำบากเกินไป ให้เครียด ภาวนา บางทีพอตั้งใจ มันบังคับกาย บังคับใจมากไป ให้เดินอยู่ในทางสายกลาง ทางกลางๆ ไม่ย่อหย่อน ย่อหย่อนก็คือปล่อยเนื้อปล่อยตัว ปล่อยกายปล่อยใจตามกิเลส ผัดวันประกันพรุ่งอะไรอย่างนี้ ย่อหย่อน ตึงเกินไป พอคิดถึงการปฏิบัติก็บังคับกายบังคับใจ ก็ผิดอยู่ 2 ด้าน หย่อนไปกับตึงไป มันเลยไม่เข้าทางสายกลางเสียที ทางสายกลางคือมรรคมีองค์ 8 ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป มรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ถือศีลหย่อนเกินไปก็ใช้ไม่ได้ ถือศีลแล้วก็ตึงเกินไปก็ใช้ไม่ได้ สมาธิหย่อนไปก็ไม่ได้ ตึงไปก็ไม่ได้ เจริญปัญญาหย่อนไปก็ไม่ได้ ตึงไปก็ไม่ได้” ต้องทางสายกลางจริงๆ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 สิงหาคม 2564

Direct download: 640829.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

โลกนี้ไม่สมบูรณ์หรอกมีทุกข์ตลอดเวลา โลกก็สอนธรรมะเรา สอนให้เราเห็น เราต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รักที่ไม่พอใจ ร่างกายเราเองก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย จิตใจเราเองเที่ยวหาความสุขมา ความสุขก็ไม่ยั่งยืน เกลียดความทุกข์ไล่มันก็ไม่ได้ พอเราเข้าใจ เรียกว่าเราเข้าใจความจริง การเข้าใจความจริงก็คือเข้าใจธรรมะ ธรรมะก็คือตัวสัจธรรมตัวความจริงนั่นล่ะ ความจริงในทางโลกกับความจริงในทางธรรม ก็เป็นความจริงเรียกโลกิยธรรมกับโลกุตตรธรรม ถ้าเราเข้าใจความจริงของโลก เราก็อยู่กับโลกอย่างมีความสุข ถ้าเราเข้าใจความจริงในโลกุตตระ เรามีความสุขที่ไม่อิงอาศัยคนอื่น ไม่อิงอาศัยสิ่งอื่น ความสุขตัวนี้ยั่งยืน ในขณะที่ความสุขในโลกนั้นไม่ยั่งยืน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 สิงหาคม 2564

Direct download: 640828.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 2:30pm +07

ชาวพุทธไม่ได้ทำแค่ทำสมถะวิปัสสนา ชาวพุทธก็ทำหน้าที่ของตัวเอง หน้าที่ต่อครอบครัว หน้าที่ต่อชุมชน พัฒนาตัวเองไป ฉะนั้นการที่เราอยู่บ้าน ทำมาหากินอยู่อะไรนี่ด้วยความสุจริต เราได้ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว อันนี้เป็นโลกิยธรรม ส่วนถ้าเราอยากพ้นจากโลก เราก็มาฝึกให้หนักขึ้น เข้มงวดในการรักษาศีล เข้มงวดในการฝึกสมาธิ ขยันขันแข็งในการเจริญปัญญา ถ้าเราทำได้ก็เดินไปสู่โลกุตตระ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นล่ะ เป็นมรรค มรรคก็คือหนทางไปสู่ความดับสนิทแห่งทุกข์ ฉะนั้นที่เราปฏิบัติธรรมๆ สูงสุดก็คือเพื่อดับทุกข์ เพื่อความดับสนิทของทุกข์นี่เป้าหมายสูงสุด ในทางโลกิยธรรมก็คือเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างดี แล้วก็เกื้อกูลที่วันหนึ่งเราจะสามารถพัฒนาจิตใจตัวเอง ไปสู่ความดับสนิทแห่งทุกข์ได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 สิงหาคม 2564

Direct download: 640822.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

กรรมฐานอะไรที่เหมาะกับเรา ควรจะดูกายหรือดูจิตเป็นหลักไว้ ถ้าเราเป็นพวกตัณหาจริต พวกรักสุข รักสบาย รักสวยรักงามอะไรอย่างนี้ ไปดูกายไว้ ถ้าพวกเจ้าความคิด เจ้าความเห็น พวกทิฏฐิจริตไปดูจิตไว้เป็นหลักเลย สังเกตตัวเอง ปัญหาอยู่ตรงนี้ทุกคนเป็นจริตผสม มีทั้งตัณหาจริตและทิฏฐิจริต ที่จะแบ่งแยกเพียวๆ เลยไม่เคยเจอ เพราะทุกคนมีทั้งตัณหาและทิฏฐิ ดูเอาตัวไหนเด่น บางคนเจ้าความคิดเจ้าความเห็นมาก พวกนี้ทิฏฐิเด่น บางคนติดสุขติดสบายแล้วก็เจ้าความคิดเจ้าความเห็นด้วย แต่ระหว่างเอาความสุขความสบายกับเอาความรอบรู้อะไร สนใจความสุขความสบายมากกว่า พวกนี้ไปดูกายเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 21 สิงหาคม 2564

Direct download: 640821.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พยายามตั้งใจทุกวันๆ ทุกวันเราจะต้องสร้างความดีให้ได้อย่างน้อยก็อย่างหนึ่ง ตั้งใจไว้เลย ทุกวันนี้จะต้องทำความดีสักอย่างหนึ่ง สะสมไปเรื่อย อาจจะไปช่วยสงเคราะห์คน ไปช่วยสัตว์ลำบาก ไปอย่างโน้นอย่างนี้แล้วแต่โอกาส แล้วแต่ความเหมาะสม แล้วแต่ความสามารถ ฉะนั้นทุกวันทำความดีอะไรสักอย่างหนึ่งก็ยังดี ทำอะไรไม่ได้หรือไปกวาดหน้าบ้านเราให้สะอาดๆ คนผ่านไปผ่านมาเขาได้สบายใจแค่นี้ก็ดีแล้ว ฝึกตัวเองทุกวันๆ ส่วนเรื่องกรรมฐานก็ต้องทำทุกวัน ความดีมีโอกาสทำก็ทำ ถ้ายังไม่มีโอกาสก็อยู่เฉยๆ แต่กรรมฐานต้องทำ ค่อยๆ ฝึกไป มีร่างกายทั้งที แทนที่เอาไปทำเหลวไหล เอามาฝึกกรรมฐานเสีย เอามาหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เราใช้ร่างกายเราให้เกิดประโยชน์ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นี้เป็นประโยชน์ของตัวเองในปัจจุบัน แล้วพอเราเข้าใจธรรมะขึ้นมาแล้ว มันก็เป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่นในอนาคต หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 สิงหาคม 2564

Direct download: 640815.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

อยู่อย่างไรถึงจะเรียกว่าอยู่เป็น อยู่แบบเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ว่าไม่มีอะไรที่เราได้ทุกสิ่งทุกอย่างหรอก โลกนี้ไม่เป็นไปตามใจปรารถนา อย่างเราอยากให้โควิดหมดไป ยังไม่ถึงเวลามันก็ไม่หมด ก็อยู่ไปอย่างระมัดระวัง มีสติรักษาจิตใจไม่บ้าเสียก่อน รักษาร่างกายให้ดีที่สุด เรียกอยู่เป็น พอเวลาจะตายก็ตายเป็น มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ดูไปเรื่อยๆ เห็นสติรู้ร่างกายมันทรมาน จิตมันตั้งมั่นเป็นคนรู้ ดูลงไปร่างกายที่เจ็บปวดนั้นไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นสมบัติของโลกที่เรากำลังจะคืนให้โลกแล้ว จิตใจก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราสั่งอะไรมันไม่ได้สักอย่างเลย แต่ทำได้แค่รู้ทันมันไป มันยินดีในภาวะอย่างนี้ มันยินร้ายในภาวะอย่างนี้ ในที่สุดก็รู้ทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง ถ้าตายไปก็ไปสุคติ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 สิงหาคม 2564

Direct download: 640814.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

สติปัฏฐานคือมีสติอยู่ในฐานกาย เวทนา จิต ธรรม ฐานใดฐานหนึ่ง ถ้าเมื่อไรไม่มีสติรู้กาย ไม่มีสติรู้ใจ เมื่อนั้นไม่ได้ทำสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกสติปัฏฐานเป็นเอกายนมรรค เป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น จิตจะเข้าถึงความสิ้นตัณหาได้ต้องทำสติปัฏฐาน ไม่มีทางเลือกทางที่สอง สติปัฏฐานมี 2 อย่าง อันแรกทำให้เกิดสติ อันที่สองทำให้เกิดปัญญา จะมีปัญญาได้ต้องมีสัมมาสมาธิ มีสมาธิที่ถูกต้อง ในที่สุดจากวิปัสสนาก็จะกระโดดขึ้นไปสู่ปัญญา จากวิปัสสนาปัญญาจะกระโดดขึ้นไปสู่โลกุตตรปัญญา ฝึกสติปัฏฐานไว้ มีสติรู้กายเนืองๆ รู้จิตใจเนืองๆ ต่อไปปัญญาเกิดก็แยกขันธ์ได้ วิปัสสนาปัญญาเกิด ก็จะเห็นไตรลักษณ์ของแต่ละขันธ์ สุดท้ายโลกุตตรปัญญาเกิด ก็ตัดกระแสเข้าไปสู่ธรรมแท้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 สิงหาคม 2564

Direct download: 640808.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

อาศัยช่วงของโควิดเราออกไปเที่ยวไม่ได้ ถ้าเราชำนาญในการพิจารณาร่างกาย เราก็เที่ยวอยู่ในร่างกาย ไม่ให้จิตหนีออกจากกาย ถ้าจิตเที่ยวอยู่ในร่างกายนี้ คอยรู้สึกอยู่ในกายนี้ กิเลสชั่วหยาบทั้งหลายเกิดไม่ได้ มันมีสติเที่ยวอยู่ในกาย แล้วถ้าปัญญามันเกิดมันจะเห็นว่า กายนี้ว่างเปล่า กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ดูจิตดูใจ เห็นจิตเที่ยวไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็นจิตสร้างภพน้อยภพใหญ่ทางใจ เห็นแต่ทุกข์ ภาวนาแล้วก็จะรู้แจ้งแทงตลอด ความเกิดมีขึ้นครั้งใด ความทุกข์มีขึ้นเมื่อนั้น ก็เกิดดี เกิดเลว หมุนเวียนอยู่ในจิตเรานี่ล่ะ เห็นอย่างนี้ต่อไปจิตมันก็รู้ว่า ภพทั้งหลายเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 สิงหาคม 2564

Direct download: 640807.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

“จริงๆ สิ่งที่เราต้องการในชีวิตเรา คือปัจจัย 4 ทางร่างกาย ปัจจัย 4 ทางจิตใจ ที่หลวงพ่อว่าสิ่งที่จะเป็นปัจจัย 4 ของจิตใจ ก็คือมีทำทานทำบุญไป มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา นั่นล่ะเป็นปัจจัยที่ให้จิตใจของเราสดชื่นแข็งแรง เหมือนปัจจัย 4 ทำให้ร่างกายของเราสดชื่นแข็งแรง เราก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองไป รักษาศีล เจริญสติ เจริญปัญญาไป ชีวิตก็จะดีขึ้นๆ ร่างกายนี้ตายแล้วก็ตายเลย แต่จิตนี้ตายแล้วเกิดต่อ เพราะฉะนั้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระหว่างให้ร่างกายอยู่รอดกับให้จิตใจอยู่รอด เอาจิตใจอยู่รอดไว้ รอดจากกิเลสได้มีความสุขที่สุดเลย มีชีวิตอยู่ทางโลกรอดไปวันหนึ่งๆ ก็เพื่อรอความทุกข์อันใหม่ที่จะมาถึง แต่จิตใจที่มันอยู่รอดไปแล้ว มันมีความสุข มันมีความอิ่ม มันมีความเต็มอยู่ในตัวเอง ไม่หิวไม่กระหาย ความหิวความกระหายของจิตก็คือตัวตัณหา คือมันไม่โง่เสียอย่างเดียว มันก็ไม่หิว" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 สิงหาคม 2564

Direct download: 640801.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

"ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ที่เราถนัด ทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำอันนั้น แล้วแทนที่มุ่งไปที่ความสุขความสงบ คอยรู้ทันจิตตัวเองไป เราจะเดินปัญญาอย่างนี้ เรียกปัญญานำสมาธิ ใช้สมาธิชนิดขณิกสมาธิ สมาธิทีละขณะๆ อย่างนี้ อย่างเรารู้ทันว่าจิตไหลไปปุ๊บ ตรงนี้สมาธิก็เกิดขึ้นชั่วขณะ เดี๋ยวก็ไหลไปอีกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมุนไปทุกหนทุกแห่งใน 6 ช่องทาง ตรงที่เรามีสติรู้มันจะมีจิตผู้รู้แทรกขึ้นมากั้นกลาง จิตหลงไปดูเรารู้ว่าหลงไปดูปุ๊บ จิตรู้ก็เกิดขึ้นมากั้น จิตหลงไปดูก็ดับ มีจิตรู้อยู่ชั่วคราว จิตหนีไปคิดแล้ว นี่หลงไปคิดหลงทางใจ เรามีสติรู้ทันว่าจิตหลงไปคิดปุ๊บ จิตหลงไปคิดก็ดับ เกิดจิตรู้ขึ้นมาคั่นอีกแล้ว จิตของเราจะขาดเป็นช่วงๆๆ ไป ตรงนี้เป็นการเจริญปัญญา" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564

Direct download: 640731.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พอจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว มันจะเห็นทุกข์ได้ ถ้าจิตไปว่างอยู่ข้างนอก ไม่มีวันเห็นทุกข์หรอก มันมีแต่สุข มันมีแต่สบาย มีแต่ว่าง ถ้าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆ ระลึกลงในกายก็เห็นทุกข์ในกาย ระลึกลงที่จิตก็เห็นทุกข์ที่จิต ตรงนี้จิตมันเดินปัญญาได้ แล้วขันธ์มันแยก มันแยกตั้งแต่จิตเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้ว หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 กรกฎาคม 2564

Direct download: 640725.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเราภาวนา เราคิดว่าถือศีลอย่างนี้มีข้อปฏิบัติอย่างนี้ดี นั่นคือสีลัพพตปรามาส ถือศีลบำเพ็ญพรตแบบลูบๆ คลำๆ ก็ต้องรู้ว่าการรักษาศีลเป็นข้อดีไหม ดี แต่ไม่ใช่รักษาศีลเพื่อจะดี เพื่อจะสุข เพื่อสงบ การมีข้อวัตรปฏิบัติพระก็มี แต่ไม่ได้มีข้อวัตรปฏิบัติเพื่อไว้ข่มคนอื่น แต่เอาไว้เพื่อจะขัดเกลาจิตใจตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งให้การอบรมกับจิตใจ จนกระทั่งวันหนึ่งมันเห็นความจริงของกายของใจ ฉะนั้นเราจะต้องก้าวพัฒนาตัวเองมาสู่ การเห็นไตรลักษณ์ของกายของใจให้ได้ ถ้าเราภาวนาถือศีลบำเพ็ญพรต แต่ไม่ก้าวมาสู่การเห็นไตรลักษณ์ของกายของใจ อันนั้นยังลูบๆ คลำๆ อยู่ ยังไม่ใช่แก่น ยังไม่ได้แก่นของการปฏิบัติ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 กรกฎาคม 2564

Direct download: 640724.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การภาวนาเราตัดตรงเข้ามาเรียนรู้ที่จิต เป็นหนทางปฏิบัติที่ลัดสั้น แต่บางคนไม่มีกำลังที่จะตัดตรงเข้ามาเรียนจิต ก็เรียนทางกายไปก่อน หัดรู้กายไปก่อน รู้กายถูกต้อง ชำนิชำนาญต่อไปจิตก็มีกำลังขึ้นมา ตั้งมั่นขึ้นมา มันก็จะค่อยมาดูจิตได้ทีหลัง ฉะนั้นดูกายต่อไปก็เห็นจิต แต่ถ้าดูจิตได้ก็ดูไปเลย มิฉะนั้นเสียเวลา อันนี้ไม่ใช่หลวงพ่อคิดเอาเอง เป็นคำสอนที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา หลวงปู่มั่นบอกว่า “ดูจิตได้ให้ดูจิต ดูจิตไม่ได้ให้ดูกาย ถ้าดูจิตไม่ได้ ดูกายไม่ได้ทำสมถะ” ท่านสอนอย่างนี้ หลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอกว่า การดูจิตเป็นการปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด คือตัดตรงเข้ามาที่นี่เลย คนเราจะดี จะชั่ว จะสุข จะทุกข์ก็เพราะจิต จะเกิดในภพภูมิอะไรก็เพราะจิต ฉะนั้นตัดตรงเข้ามาที่จิต ตรงนี้ก็เร็ว ไปได้เร็ว -- หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 18 กรกฎาคม 2564 ไฟล์ 640718 ซีดีแผ่นที่ 90

Direct download: 640718.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

1 « Previous 34 35 36 37 38 39 40 Next » 97