Direct download: 660204_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660204_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

เราทำต้นทางนี้ให้ดี มีสติอ่านจิตอ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ กุศลเกิดก็รู้ อกุศลเกิดก็รู้ไป ไม่ต้องคาดหวังอะไร แล้วมันจะรู้ได้เร็วขึ้นๆ เพราะสติเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ มีความเพียรชอบ ทำให้มากเจริญให้มาก ก็จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์ ฉะนั้นคอยดูจิตดูใจตัวเองที่เป็นกุศลที่เป็นอกุศลไว้ให้มากๆ สติก็จะดี สมาธิก็จะสมบูรณ์ขึ้นมา แล้วต่อไปพอสมาธิเกิดแล้ว จะเห็นไตรลักษณ์ ลำพังสติ ไม่มีสัมมาสมาธิหนุนหลัง ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ สติระลึกกาย เห็นอะไร เห็นกาย สติระลึกรู้เวทนา เห็นอะไร ก็เห็นเวทนา สติระลึกรู้กุศลอกุศล เห็นอะไร เห็นกุศล อกุศล แต่ถ้าจิตมีสัมมาสมาธิตั้งมั่น มันจะเห็นเลยว่ากายที่สติระลึกรู้ ไม่ใช่เรา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา เวทนาที่สติระลึกรู้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา กุศลอกุศลที่จิตระลึกรู้ คือสังขารทั้งหลายไม่ใช่เราๆ ค่อยดูไป พอปัญญามันแก่รอบแล้วต่อไปวิมุตติมันก็เกิดเอง พระพุทธเจ้าสอนบอกว่า ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ จิตบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาแก่รอบ ศีล สมาธิ ปัญญาแก่รอบ ต้องอาศัยการเจริญมรรคมีองค์ 8 นั่นล่ะ แต่พวกเราจะปฏิบัติทางดูจิต เราก็ตัดเข้ามาตรงสัมมาวายามะนี่เลย คอยรู้ทันกิเลสตัวเองไว้ เป็นการปฏิบัติที่ลัดสั้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 กันยายน 2566

Direct download: 660903.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660129_VQ.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

ค่อยภาวนา ทำไปเรื่อยๆ เห็น เมื่อไรเห็นทุกข์มันก็จะวางทุกข์ ถ้าเห็นว่ากามนำความทุกข์มาให้ มันก็วางกาม เห็นกายคือตัวทุกข์ มันก็วางกาย วางกามมันก็วางกายนั่นล่ะ แล้วสุดท้ายมันก็เข้ามาที่จิต วางจิตได้มันก็ที่สุดของการปฏิบัติ มันก็อยู่ตรงนั้นล่ะ แต่วางจิตได้ก็คือเห็นจิตนั้นคือตัวทุกข์ ฉะนั้นไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรมหรอก การเห็นทุกข์เห็นโทษแล้วปล่อยวางได้ ไม่เฉพาะกามหรอก ไม่ว่าอะไรก็ตามเถอะ ถ้าเราเห็นทุกข์เห็นโทษ ของการที่เราเข้าไปยึดไปถือสิ่งนั้นแล้ว มันถึงจะวาง เพราะฉะนั้นถ้าเห็นทุกข์ พอรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่เราเห็นทุกข์แล้ว ไม่เกิดขึ้น อย่างเราเห็นว่ากายเป็นทุกข์อย่างแท้จริง ความอยากให้กายเป็นสุข ไม่เกิดขึ้น ความอยากให้กายไม่ทุกข์ ไม่เกิดขึ้น มันรู้ว่าไร้เดียงสา อยากให้กายมีความสุข มันมีไปได้อย่างไร เพราะมันคือตัวทุกข์ ดูไปเรื่อย อยากให้กายไม่ทุกข์ อันนี้ก็ไร้เดียงสา อยากให้กายสุขก็ไร้เดียงสา อยากให้กายไม่ทุกข์ก็ไร้เดียงสา เพราะจริงๆ มันคือตัวทุกข์ เห็นไหมว่า ถ้าเราเห็นตัวทุกข์ทีเดียว มันตอบโจทย์หมดแล้ว รู้ทุกข์เมื่อไร ก็ละสมุทัยเมื่อนั้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 กันยายน 2566

Direct download: 660902.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660129_VT2.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660830.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660129_VT1.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

ท่านสอนให้เจริญสติปัฏฐาน การเจริญสติปัฏฐานพัฒนาเครื่องมือสำคัญขึ้นมาคือสติ แล้วใช้สตินั้นไปเจริญปัญญา จิตที่มีสติก็ประภัสสร เพราะขณะนั้นไม่มีกิเลส จิตเป็นกุศล ผ่องใส ประภัสสร พอได้จิตที่ผ่องใสประภัสสร มีสติอยู่ ก็เอาสตินั้นล่ะ เอาจิตอันนั้นล่ะไปเจริญปัญญา ไปเรียนรู้ความจริงของรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ถ้าทำมาถูกต้อง อันแรกเลยคือพัฒนาจิตขึ้นมา ให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พัฒนาจิตขึ้นมาสู่ความประภัสสร ไม่ถูกกิเลสครอบงำ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จิตเป็นกุศล แล้วใช้จิตนั้นไปเจริญปัญญา เกือบร้อยละ 100 ของผู้ปฏิบัติมันไม่มีจิตตัวนี้ ไม่มีจิตประภัสสร นั่งสมาธิก็เคร่งเครียด อันนั้นมีโทสะ นั่งแล้วก็ติดในความสุข ความสบาย นั่นเป็นโลภะ นั่งแล้วก็เคลิบเคลิ้ม ลืมเนื้อลืมตัว อันนั้นเป็นโมหะ มันเป็นจิตที่มีกิเลสจรมาครอบงำจิตเรียบร้อยแล้ว ก็เลยไม่มีจิตประภัสสร หรือครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่าจิตผู้รู้ จิตผู้รู้ก็คือจิตประภัสสรนั่นเอง เป็นจิตที่ไม่เจือปนด้วยกิเลส มีสติอยู่ เป็นกุศลจิต เราจะต้องพัฒนาจิตดวงนี้ขึ้นมาให้ได้ ถ้าเราพัฒนาจิตดวงนี้ขึ้นมาไม่ได้ เราไปเจริญปัญญาไม่ได้จริง เราเอาจิตที่ปนเปื้อนด้วยกิเลสไปเจริญปัญญา ความรู้ความเห็นนั้นจะเจือปนด้วยอคติ จะมีอคติ เพราะว่ามันมีกิเลสในการมอง ฉะนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาเลยไม่ใช่ของจริง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 สิงหาคม 2566

Direct download: 660827.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660128_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

รู้สึกตัวไปสบายๆ อย่าไปดัดแปลงจิตใจ ส่วนใหญ่เราจะคิดว่า การปฏิบัติเราจะต้องทำอะไร เราค่อยๆ ฝึก ฝึกตัวเอง ในขั้นวิปัสสนาไม่ต้องแก้ไขอะไร รู้ทุกอย่าง อย่างที่มันมี อย่างที่มันเป็น ยกเว้นตอนเริ่มต้น ถ้ามันไม่ยอมเดินปัญญา ต้องช่วยมันแก้ แก้ไขที่จิตติดนิ่ง ติดเฉย ก็พิจารณากาย พิจารณาจิตอะไรไป สมถะต้องทำ ต้องแก้ไข ส่วนมากอารมณ์กรรมฐานที่ใช้ทำสมถะ ก็จะเป็นอารมณ์ตรงข้าม เป็นปฏิปักษ์กับกิเลสหลักของเรา อย่างเราพวกโทสะเยอะ เจริญเมตตาไป ให้ใจร่มๆ ใจเย็นๆ ใจก็สงบ มีราคะพิจารณาปฏิกูลอสุภะไป ก็เห็นราคะไม่มี วัตถุกามไม่มีสาระแก่นสาร ราคะก็สงบ ใจก็ร่มเย็น ใจมันฟุ้ง เที่ยวแสวงหาอารมณ์ที่มีความสุขไปเรื่อย เรามาทำอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข จิตมีความสุขอยู่ในอารมณ์เดียว จิตก็ไม่หิวอารมณ์อื่น จิตก็สงบอยู่ นี่หลักของสมถะ มีการแก้ไขอารมณ์ของตัวเอง จิตใจของตัวเอง แต่ในขั้นวิปัสสนาจริงๆ ไม่ต้องทำอะไร รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้จิตอย่างที่จิตเป็นไป แต่ถ้าไม่รู้ อันนั้นต้องทำ ช่วยมันคิดพิจารณา แต่ถ้ามันดูได้เอง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 สิงหาคม 2566

Direct download: 660826.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660122_VQ_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660122_VT2__2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

เราเดินตามแผนผังที่พระพุทธเจ้าวางไว้ให้เรา อย่ากระโดดข้ามขั้น ไม่ใช่ไม่มีศีล ก็โดดขึ้นไปทำสมาธิ ไม่มีศีลแล้วไปทำสมาธิได้ไหม ก็ได้ แต่มันก็จะเกเรแบบเทวทัต เทวทัตทำสมาธิได้แต่เทวทัตไม่มีศีล สุดท้ายเทวทัตก็ลงอเวจี เจริญปัญญาโดยไม่มีสมาธิ ก็เป็นไปไม่ได้ แบบเรียนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา มีขั้นมีตอน มีลำดับที่ชัดเจน ก่อนเจริญปัญญานั้นต้องมาฝึกจิตให้ตั้งมั่นก่อน ก่อน ที่จะลงมือฝึกจิตนั้น ต้องตั้งใจรักษาศีล 5 ให้ได้ก่อน ให้เด็ดเดี่ยวลงไป ถ้าเรารักษาศีลของเราไว้ได้ดี เราจะไม่ทำชั่วทางกาย ทางวาจา เราจะเหลือความชั่วทางใจ ซึ่งอันนี้ล่ะเราจะล้างมันด้วยสมาธิและปัญญา ศีลเป็นเครื่องขัดเกลากายวาจาเราให้สะอาดหมดจด ไม่ทำผิดทางกาย ทางวาจา สมาธิและปัญญาเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจให้สะอาดหมดจด แต่มันมี 2 ขั้นตอน ขั้นสมาธิคือการเตรียมจิตให้พร้อมสำหรับการเจริญปัญญา สมาธิอันแรก สงบ สบาย ทำให้สดชื่น มีเรี่ยวมีแรง วิธีคือน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง สมาธิอันที่สอง ปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยสติ ฉะนั้นเราทำกรรมฐานอันเดิมนั่นล่ะ แต่ไม่ได้ทำเพื่อมุ่งให้จิตมีความสุขความสงบอะไรอีกต่อไปแล้ว เราทำกรรมฐานแล้วก็คอยรู้ทันจิตตัวเองไว้ พยายามฝึกให้จิตมันตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูไว้ แล้วดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงาน เบื้องต้นก็เห็นกายเห็นใจมันทำงาน เบื้องปลายลึกลงไปอีกก็เห็นกายนี้ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตใจก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ก็เห็นอย่างนี้ไป เรียกว่าต่อไปพอเรารู้แจ้งแทงตลอด กายนี้คือตัวทุกข์ จิตนี้คือตัวทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับไป อันนี้เรียกว่ารู้จริงในสังขารทั้งหลาย สังขารก็คือขันธ์ 5 นั่นล่ะ คือกายคือใจเรานั่นล่ะ พอเรารู้จริงในสังขารเรียกว่าเราล้างอวิชชาได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 20 สิงหาคม 2566

Direct download: 660820.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660122_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660121_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ เรามีผลประโยชน์เป็นสรณะ คนในโลกนี้ เขาไหว้หมด ยุคโบราณเขาไหว้ภูเขา ไหว้แม่น้ำ ไหว้ต้นไม้ เดี๋ยวนี้ยังไหว้ต้นไม้อยู่ ขุดเจอตอไม้ก็เอามาไหว้กัน หรือถูหาเลข แล้วก็มโนไหว้โน้นไหว้นี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบหรอก ถ้าเราสังเกตให้ดีเราจะเห็น มันจะมีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมาให้เราไหว้เรื่อยๆ ยุคหนึ่งก็ไหว้จตุคาม มาถึงวันนี้ไหว้อสุรกาย มันไปกันใหญ่แล้ว ทำไมคนต้องเที่ยวหาที่พึ่งภายนอก เพราะว่าไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ ใจมันอ่อนแอ การพึ่งตัวเองแล้วเรียนรู้ตัวเองไป ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ที่พระอรหันตสาวกท่านสอน ลงมือปฏิบัติไป จนกระทั่งเรารู้ธรรมชาติทั้งหลาย มันเป็นไปตามเหตุ สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ ถ้าไม่มีเหตุสิ่งนั้นมันก็ไม่เกิด เราภาวนาเรื่อยๆ เราจะเห็น สิ่งทั้งหลายมีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ บังคับมันไม่ได้ อย่างเราจะมีความสุข หรือเราจะมีความทุกข์ เราจะไปร้องขอให้เทวดาช่วยเราไม่ให้ทุกข์หรือ ไปขออสุรกายช่วยให้เรามีความสุข เขาเหล่านั้นก็มีความทุกข์ ไม่ได้ต่างกับเราหรอก เทวดาเขาก็ทุกข์อย่างเทวดา ผีมันก็ทุกข์อย่างผี สัตว์นรกมันก็ทุกข์อย่างสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานมันก็ทุกข์ ทุกข์มากๆ เลย เขาจะมาเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราได้อย่างไร เขาเองยังทุกข์อยู่ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้เราไปดูถูกคนอื่น ดูถูกเทวดา พรหม หรือภูติผีปีศาจอะไร ท่านสอนให้เรามองเขาในฐานะเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมทุกข์ คือยังทุกข์อยู่ด้วยกัน เหมือนเพื่อนเรายังลำบากมาก เราก็ยังพยายามไปเรียก ให้เขาช่วยโน่นช่วยนี่อีก มันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย อย่างพวกอสุรกายมันลำบากมาก เราก็จะไปไหว้ จะเอาตัวอะไรไปบูชายัญอะไรอย่างนี้ หวังจะให้ช่วยเรา มันยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเลิก ชาวพุทธเราต้องเลิกที่จะเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งของเรา เราต้องเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง เรียนรู้ธรรมะไป เข้าใจวิธีปฏิบัติแล้วลงมือปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม แค่ไหนสมควร ก็ปฏิบัติเต็มสติเต็มกำลังของเรานั่นล่ะ เรียกว่าปฏิบัติโดยสมควร ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะนั้นจะคุ้มครองเรา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 สิงหาคม 2566

Direct download: 660819.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660121_VT1.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660115_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

จิตใจเราไม่มีอิสระ จิตใจเราเป็นทาส ไม่มีความสุขที่แท้จริง เฝ้ารู้เฝ้าดู เวลาตัณหาเกิดทีไรความทุกข์เกิดทุกที ดูลงไปอย่างนี้เลย แล้ว เราจะเห็นจิตใจนี้ไม่เคยมีความสุข เพราะจิตใจนี้ไม่ค่อยว่างจากตัณหาหรอก มีความทุกข์เกิดขึ้นตลอดเวลา เฝ้ารู้เฝ้าดู ตอนหลวงพ่อเป็นโยมภาวนา หลวงพ่อพบว่าจิตเหมือนคนติดคุก ถูกขังอยู่ในคุก แล้วมันก็เป็นคุกที่ป่าเถื่อน ตัณหาเป็นผู้คุมเราอีกที แล้วสั่งงานเราอยู่ในคุกตลอดเวลา คุกที่ขังจิตมันเคลือบครอบคลุมจิตอยู่ ตัวนี้คือตัวอาสวกิเลส มันครอบคลุมจิตใจเราไว้ ห่อหุ้มจิตใจเราไว้ แทรกซึมเข้าไปในจิตใจ แล้วก็ผลักดันให้เกิดตัณหาบงการบังคับจิตใจทั้งวันทั้งคืน พอภาวนามาเห็นตรงนี้ หลวงพ่อยอมไม่ได้แล้ว แต่เดิมคิดว่าเราอิสระ แต่ตอนนี้รู้ความจริงแล้วว่าจิตใจเราไม่ได้อิสระ จิตใจเราเกิดมาก็เป็นทาสแล้ว ยอมไม่ได้ ต้องแหกคุกนี้ให้ได้ ถ้ายังทำลายคุกอันนี้ไม่ได้ จะไม่เลิกปฏิบัติหรอก คล้ายๆ หน้าที่ของเราคือแหกคุก แหกคุกก็คืออาสวกิเลสมันห่อหุ้มจิตใจเราไว้ แล้วตัณหามันก็บงการจิตใจเรา เฝ้ารู้เฝ้าดูลงไป เรียนรู้ลงไป ในที่สุดก็ทำลายนายทาสตัวนี้ลงไป แต่มันทำลายเป็นระดับๆ ไป อยู่ๆ ไปทำลายตัณหา ทำไม่ได้ จะทำลายตัณหาได้ต้องทำลายอวิชชาได้ ความไม่รู้ ของเราตอนนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น ของเราภาวนาไป เห็นไปร่างกายไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง จิตใจไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง เพราะจิตใจเป็นของที่เราสั่งอะไรก็ไม่ได้ ดูอย่างนี้ก่อน แล้วขั้นปลายค่อยไปดูว่าร่างกายคือตัวทุกข์ จิตใจคือตัวทุกข์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 สิงหาคม 2566

Direct download: 660813.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 660115_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660811.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

Direct download: 660114_VT2_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660114_VT1_.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

Direct download: 660108_VT2.mp3
Category:short clips -- posted at: 6:00pm +07

1 « Previous 7 8 9 10 11 12 13 Next » 95