โลกไม่มีอะไรมีแต่ทุกข์ ผู้มีปัญญาก็หาที่พึ่งที่อาศัย ที่พึ่งที่อาศัยของเราก็คือสรณะนั่นเอง ในสังสารวัฏสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราได้จริงๆ ก็มีแต่พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของอื่นไม่ใช่สรณะ ไม่ใช่ที่พึ่ง ที่อาศัยได้ชั่วครั้งชั่วคราว ทำอย่างไรเราจะสามารถมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์มาเป็นสรณะ และเป็นที่พึ่งในจิตใจของเราได้ ตัวนี้เราจะต้องศึกษา ต้องปฏิบัติ สิ่งที่ต้องรักษาคือศีล สิ่งที่ต้องฝึกซ้อมอยู่เสมอก็เรื่องของสมาธิ สิ่งที่ต้องพัฒนาให้เจริญไปเรื่อยๆ คือปัญญา การทำ 3 อย่างนี้ 3 สิ่งนี้ จะทำให้เรามีจิตใจที่พัฒนาสูงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็มีที่พึ่ง เราเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 สิงหาคม 2565

Direct download: 650806.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าพวกเราดำรงชีวิตไม่ถูก ชีวิตเราก็วุ่นวาย ชีวิตที่มันวุ่นวาย เคร่งเครียด ภาวนายาก ถ้าเราดำรงชีวิตเราอย่างถูกต้อง ทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้อง จิตใจไม่ฟุ้งซ่านมาก การภาวนาไม่ใช่เรื่องยาก เพราะฉะนั้นโลกิยธรรมที่ดี ก็หนุนเสริมการพัฒนาไปสู่โลกุตตรธรรม ถ้าโลกิยธรรมยังทำได้ไม่ดีเลย แล้วหวังโลกุตตรธรรม มันทำไม่ได้หรอก ฉะนั้นธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนทั้งหมด เป็นประโยชน์แล้วก็เกื้อกูลเราเพื่อความพ้นทุกข์ทั้งสิ้น หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650731.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

ถ้าเราภาวนาถึงจุดหนึ่งเราจะรู้ โลกนี้เหมือนงูพิษจริงๆ รูปก็เป็นงูพิษ เสียงก็เป็นงูพิษ มันทำให้จิตเราเสียหายได้ทั้งหมด พอเราภาวนา พอจะอยู่กับโลก เหมือนอยู่ในหมู่งูพิษล้อมตัวเราไว้ทั้งหมดเลย มันจะโดนฉกกัดเมื่อไรก็ได้ จิตมันจะ Alert มีสติ มีสมาธิ คอยระมัดระวังอยู่ อินทรียสังวรเกิดขึ้น ศีลอัตโนมัติของเราเกิดขึ้น จิตเราก็ตั้งมั่นอัตโนมัติขึ้นมา มันจะสำรวม มันจะระวัง พอฝึกมันจะเห็นผล อยู่กับโลกไม่ได้ โลกร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเลย มันไร้สาระหาแก่นสารอะไรไม่ได้ จำเป็นต้องอยู่กับมันก็อยู่กับมัน แต่อยู่กับมันเหมือนอยู่ท่ามกลางฝูงงู โลกนี้มีแต่ทุกข์ โลกนี้ไม่มีอะไรหรอก เผลอไปยึดไปถือเข้านิดเดียวก็ทุกข์แล้ว นี่ใจก็จะยิ่งน้อมๆๆ มาหาการปฏิบัติมากขึ้นๆ ช่วงแรกๆ ต้องฝืนใจ ต้องน้อมใจ ต้องชักชวนให้จิตใจปฏิบัติ แต่เมื่อเราปฏิบัติไปถึงช่วงหนึ่ง ไม่ต้องชักชวนแล้ว จิตใจมันเอือมระอาต่อโลกข้างนอก มันอยากปฏิบัติของมันเอง ตรงนี้อัตราเร่งของความก้าวหน้าในการปฏิบัติมันก็จะมากขึ้นๆ ยิ่งภาวนายิ่งไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ไม่ว่าพระหรือโยมก็ทำได้ ขอให้ตั้งใจเถอะ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650724.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:00pm +07

เราดูละครเวที บางทีมีดารามาเล่นทีหนึ่งตั้งสิบตัว ละครเต็มเวที ดูจิตมันก็เหมือนกัน ในสภาวะอันหนึ่งๆ มีตัวละครประกอบกันจำนวนมาก เวลาดูละครเวที ถึงจะมีตัวละครเป็นสิบตัว ยิ่งถ้าเล่นโขนมีหลายสิบตัวเลย เราจะดูตัวที่เป็นตัวที่กำลังแสดง เป็นตัวเอกขณะนั้น ไม่ใช่ตัวเอกต้องเป็นพระเอก นางเอก ตัวเอกหมายถึงตัวที่มีบทบาทหลักในขณะนั้น ดูละครเดี๋ยวก็ดูตัวนี้ เดี๋ยวก็ดูตัวนี้ แต่ว่าดูได้ทีละตัว สังเกตให้ดีเราดูทีละตัวเท่านั้น ดูจิตนี้ก็เหมือนกัน ในขณะหนึ่งๆ มีองค์ธรรมจำนวนมากเกิดขึ้นด้วยกัน ไม่ใช่จิตมีดวงเดียวแล้วก็มีอยู่ดวงเดียวเท่านั้น มันมีทั้งเวทนาก็มีอยู่ สังขารก็มี สัญญาก็มี ความจงใจ มนสิการ ความใส่ใจที่จะรู้ก็มี ความเป็นหนึ่ง รู้อารมณ์อันเดียวก็มีเรียก เอกัคคตา ความรับรู้เรียกว่าจิต หรือเรียกว่าวิญญาณ ก็มีอยู่ เราดูจิตใจเราเล่นละคร มันเปลี่ยนตลอดเลย เดี๋ยวตัวนี้เล่นๆ เดี๋ยวตัวอิจฉาเล่น เดี๋ยวตัวโกรธเล่น เดี๋ยวตัวรักเล่น เดี๋ยวตัวโลภเล่น เล่นหมุนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวตัวเศร้าโศกก็เล่น เดี๋ยวตัวมีความสุขก็เล่นขึ้นมา ดูใจของเราเหมือนดูละคร ตัวไหนเด่นดูตัวนั้น ไม่ต้องหา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 30 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650730.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเรามีปัญญารู้ทุกข์ เราก็จะละกามทั้งหลายได้ ละความหลงโลกได้ เรามาเรียนให้เห็นความจริง ความจริงในกาย ถ้ารู้แจ้งความจริงในกาย เราก็จะไม่ติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย ถ้าเรียนรู้ความจริงของใจ เห็นของจริงของจิตแล้ว จิตคือตัวทุกข์ เราก็จะไม่ติดในรูปโลก อรูปโลก ไม่ติดในฌานสมาบัติทั้งหลาย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650723.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 11:00am +07

อาศัยสติมาสร้างสมาธิ อาศัยสมาธิไปสร้างปัญญา ใช้สติสมาธิไปสร้างปัญญา แล้วปัญญานั่นล่ะจะทำให้จิตเราหลุดพ้นอัตโนมัติ กระบวนการทั้งหมดเบื้องต้นต้องตั้งใจฝึก เบื้องปลายทุกอย่างจะอัตโนมัติ เบื้องต้นเราฝึกสติ เราก็ตั้งใจฝึกไป มีกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง ทำไปแล้วจิตหนีไป เรารู้ ไป เพ่งอะไร เรารู้ รู้ทันจิตไปเรื่อยๆ สติเราก็จะดี หรือดูตรงนี้ไม่ออก ก็เห็นร่างกายหายใจออกก็รู้ ร่างกายหายใจเข้าก็รู้ ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอนก็รู้อะไรอย่างนี้ สติมันก็จะดีขึ้นๆ สติปัฏฐานทำให้สติเกิดในเบื้องต้น ทำให้ปัญญาเกิดในเบื้องปลาย ฉะนั้นเราทำสติปัฏฐาน รู้ไปเรื่อยๆ ต่อไปไม่เจตนาจะรู้มันรู้ได้เอง ตรงนี้อัตโนมัติแล้ว หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 17 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650717.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

จิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา จิตเป็นแค่สภาพธรรมอันหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา จิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 เป็นผลผลิตของจิต มันก็ไม่ใช่เรา โลกซึ่งมันปรากฏขึ้นมาได้ก็เพราะเรามีจิต มันก็เลยพลอยไม่ใช่เราไปด้วย ไม่ยากหรอก สังเกตจิตตัวเองไป ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ดูไป อย่ารีบร้อน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650716.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

สำคัญที่สุดมีโยนิโสมนสิการ สังเกตตัวเอง ที่ทำอยู่ตรงนี้หลงอยู่หรือว่าปฏิบัติอยู่ ขั้นหยาบๆ เลย แล้วที่ปฏิบัติอยู่สมถะหรือวิปัสสนา สังเกตไป ตอนทำสมถะอยู่อันนี้นิมิตเกิดขึ้น เรายินดีในนิมิต หรือเราวางนิมิตย้อนเข้ามารู้ทันจิตตนเองได้ ถ้ายินดีในนิมิต นิมิตจริง นิมิตปลอมก็โง่เหมือนกัน หลงออกไปแล้ว ลืมจิตใจตัวเอง สังเกตตัวเองไปเรื่อยๆ หลวงพ่อสู้มาทุกวันนี้ ตั้งแต่เป็นโยม ใช้ความสังเกต ใช้โยนิโสมนสิการมาก ในชีวิตหลวงพ่อเรียนกับครูบาอาจารย์ หลวงพ่อเคยถามกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ทั้งหมด 7 ครั้ง จากครูบาอาจารย์ 6 องค์ ที่ถามมีแค่นั้นเองนอกนั้นสังเกตเอา อย่างภาวนาไปช่วงนี้ เกิดสภาวะอย่างนี้มันใช่มันไม่ใช่ หลวงพ่อสังเกตไปเรื่อย ไม่ยินดี ไม่ยินร้ายกับมัน ค่อยรู้ค่อยดูไป เกิดความเข้าใจขึ้นมาแล้ว มีโอกาสเจอครูบาอาจารย์ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น จะเข้าใจก่อนที่จะเจอครูบาอาจารย์ แล้วก็ไปเล่าให้ท่านฟัง บอก “ผมดูแล้วมันเป็นอย่างนี้ๆ มันคืออย่างนี้” ท่านบอก “ใช่แล้ว ถูกแล้ว” ท่านจะชมว่าฉลาด ฉลาด ช่วยตัวเองมาได้ ถ้าเอะอะวิ่งถามครูบาอาจารย์ตลอด ไม่ฉลาดหรอก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650713.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 10:00am +07

ความสุขในโลกเป็นน้ำตาลที่เคลือบยาพิษเอาไว้ แล้วยาพิษร้ายแรง คือทำให้เราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ไม่รอด น้ำตาลหวานๆ คืออะไร คือกามคุณอารมณ์ทั้งหลาย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอะไรที่น่าเพลิดเพลินทั้งหลาย ความสุขจอมปลอมทั้งหลายเอาไว้หลอกคนโง่ให้หลงอยู่ แต่ผู้รู้ไม่ติดข้อง สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องมือของมาร เป็นอาวุธของมารในการที่จะจับพวกเราเอาไว้ในอำนาจ คือกามนี่ล่ะ เครื่องมือของมาร จะจับเราเอาไว้ เมื่อเรามีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ลงมือแสวงหาความสุขที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเป็นลำดับๆ ไป หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650710.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

แค่รู้ทันจิตตัวเองเท่านั้น องค์มรรคทั้งหมดก็จะเจริญได้ เมื่อเจริญเต็มที่ เรียกว่าเราเดินอยู่ในทางสายกลางแล้ว ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป อย่างอกุศลเกิดในใจเรา ห้ามมันไม่ได้ แต่มันผลักดันให้เราคิดชั่ว เรารู้ทัน เราก็ไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว กุศลเราก็เจริญ อกุศลมันก็ลดลงๆ ไม่ตึงเกินไป ตึงเกินไปเป็นอย่างไร จะมาบอกจิตว่าห้ามคิดชั่ว ห้ามมีกิเลส อันนี้ตึงเกินไป เพราะไม่มีใครทำได้ จิตมันเป็นอนัตตา จิตมันจะปรุงกิเลส ใครจะไปห้ามได้ แต่เมื่อจิตมันปรุงกิเลสแล้ว ก็ใช้หลักที่พระพุทธเจ้าสอน จิตมีกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ มีสติรู้ทัน นี่คือทางสายกลาง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650709.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

วันนี้พูดเรื่องโลกๆ เพราะว่าอยากให้พวกเรารู้ ว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ใช่มีแต่ธรรมะระดับพ้นโลก ธรรมะที่จะอยู่กับโลกอย่างมีความสุขท่านก็สอนเอาไว้ ฉะนั้นเราลองไปสังเกตในมงคลสูตรก็ได้ ดูสักสูตรหนึ่ง อะไรที่ท่านบอกให้ปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ อะไรที่ท่านห้าม เราก็อย่าไปทำ ชีวิตเราก็จะเจริญ มีความสุข มีความเจริญมากขึ้นๆ ยิ่งอย่างเราได้ฟังธรรมแล้วเราก็ต้องลงมือปฏิบัติธรรม ท่านบอกการเห็นสมณะ การฟังธรรมตามกาล การบำเพ็ญตบะคือการแผดเผากิเลส ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมงคลอย่างยิ่ง ถัดจากนั้นก็เห็นอริยสัจ พ้นจากโลกธรรมทั้งหลาย จิตใจเข้าถึงความไม่เศร้าโศก การไม่มีกิเลส จิตใจเข้าถึงความปลอดภัย ไม่ถูกอะไรมาเสียดแทงจิตใจให้เศร้าหมองลงมาได้อีก ฉะนั้นธรรมะ ดีทั้งทางโลก ดีทั้งทางธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650703.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ตั้งแต่พุทธกาลมา จนถึงครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อไปเรียนด้วย ท่านมุ่งเข้ามาที่จิตทุกองค์ อย่างถ้าคนไหนอินทรีย์อ่อนมากๆ ท่านก็ให้ทำสมถะก่อน ทำสมถะแล้วท่านก็สอนให้ไปดูกาย พิจารณากายในอาการ 32 ก็อยู่ในสติปัฏฐานเหมือนกัน ค่อยดูไปสติก็จะค่อยๆ เข้มแข็งขึ้น สมาธิก็จะค่อยๆ ดีขึ้น มีสติ มีสมาธิดีแล้วก็จะเจริญปัญญาได้ เห็นความจริงของรูป ของนาม ของกาย ของใจ ความจริงคือเห็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ ฉะนั้นเราพยายามสังเกตจิตใจของเรา ทำความรู้จักกับจิตตนเองไว้ เราอยากรู้อะไรต่ออะไรมากมาย แต่รู้อะไรมากมายก็สู้การรู้จักตัวเองไม่ได้ แสวงหาอะไรก็สู้แสวงหาลงมาในตัวเองไม่ได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 กรกฎาคม 2565

Direct download: 650702.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

มีร่างกาย มันก็มีภาระ มีผมก็มีภาระ มีขนก็มีภาระ อย่างต้องโกนหนวดโกนเครา โกนขนรักแร้ โกนขนหน้าแข้ง ผิวหนังมีรูพรุนๆ อยู่ทั้งตัวเลย ผิวหนังมีของโสโครกไหลออกมาตลอดเวลา สวยแค่ไหน ไม่อาบน้ำสัก 2 - 3 วัน ก็ไม่มีใครเขาเข้าใกล้แล้ว เหงื่อไคลสกปรกโสโครก เป็นขี้กลากขี้เกลื้อนอะไรขึ้นมา ไม่ได้สวยไม่ได้งาม ถ้าเราดูลงไป เราก็จะเห็นร่างกายไม่ใช่ของดีของวิเศษหรอก มีร่างกายก็มีภาระอันมากมายเกิดขึ้น ใจมันก็จะค่อยๆ คลายความรัก ความหวงแหนในร่างกายออกไป สุดท้ายมันก็รู้สึกร่างกาย มันแค่ของอาศัย แล้ววันหนึ่งก็แตกสลายไป ระหว่างที่ยังไม่แตกสลายก็เป็นภาระวุ่นวายไม่เลิก พอเห็นอย่างนี้มันจะค่อยคลายความยึดถือในร่างกายออกไป ถ้าเราดูจิตดูใจเราก็จะเห็น ความรู้สึกทุกชนิดที่เกิดขึ้นกับจิต จะสุขหรือทุกข์ จะดีหรือชั่ว ก็เป็นภาระกับจิตทั้งสิ้น เป็นภาระในการแสวงหาอารมณ์ที่ดี เป็นภาระในการผลักไสอารมณ์ที่ไม่ดี เป็นภาระในการรักษาอารมณ์ที่ดีอะไรอย่างนี้ มันมีภาระเกิดขึ้นทั้งหมดเลย ถ้าจิตมันไปหลงในความรู้สึกทั้งหลาย สุข ทุกข์ ดี ชั่วทั้งหลาย ก็เป็นภาระของจิต เห็นแล้วก็วางได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 มิถุนายน 2565

Direct download: 650626.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การเจริญสติในชีวิตประจำวัน ที่ว่าเป็นหัวใจของการปฏิบัติ คือเรามีสติรู้เท่าทันจิตใจของตัวเองไว้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ จิตเกิดสุข เกิดทุกข์ รู้ทัน จิตเกิดกุศล เกิดโลภ โกรธ หลง รู้ทัน จิตมีปฏิกิริยายินดี ยินร้าย รู้ทัน สังเกตอย่างนี้ในชีวิตจริงๆ นี่คือหัวใจของการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถึงเวลาเราก็นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม มีเวลาเราก็ทำ ตั้งอกตั้งใจทำทุกวันๆ จิตจะมีพลัง แต่ว่าตัวสำคัญเลยที่จะแตกหักได้จริงๆ อยู่ในชีวิตธรรมดานี่ล่ะ คนส่วนใหญ่มันคิดว่าการปฏิบัติคือการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ฉะนั้นอยู่ข้างนอกนี่ไม่ปฏิบัติ พวกนี้บอกเลยไม่มีวันบรรลุมรรคผลหรอก ไม่ได้กินหรอก เพราะอะไร ชีวิตส่วนใหญ่เราอยู่ข้างนอกนี้ ชีวิตส่วนใหญ่เราไม่ได้ไปนั่งสมาธิอยู่เสียเมื่อไร หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 มิถุนายน 2565

Direct download: 650625.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าเราไม่สามารถพัฒนาจิตให้เป็นผู้เห็น เราทำวิปัสสนาไม่ได้จริงหรอก วิปัสสนาแปลว่าการเห็นแจ้ง ปัสสนะ แปลว่าการเห็น วิ แปลว่าแจ้ง เห็นชัดเจน แจ่มแจ้งถูกต้อง ตรงความเป็นจริง ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปทำวิปัสสนาได้ ไม่ว่าจะด้วยกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา เราต้องพัฒนาจิตให้เป็นผู้เห็นให้ได้ ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าท่านเรียกจิตผู้รู้ ผู้รู้ผู้เห็น ก็อันเดียวกันล่ะ ฉะนั้นที่หลวงพ่อพากเพียรสอนพวกเราเรื่อยๆ ว่าเราต้องมีจิตผู้รู้นะ ถ้าเราไม่มี เราเดินปัญญาต่อไปไม่ได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 มิถุนายน 2565

Direct download: 650619.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราปฏิบัติธรรมเราก็จะมีความสุข อย่างเรารักษาศีลไว้ได้ดี พอเรานึกถึงเรารักษาศีลมาอย่างดี พยายามจะไม่ทำผิดศีล เราจะเกิดความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจขึ้นมา มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ถ้าเราฝึกสมาธิมันก็มีความสุขไปอีกแบบหนึ่ง จิตมันสงบ บางทีรู้สึกตัวอยู่เฉยๆ ความสุขผุดขึ้นมาเอง ถ้าเข้าฌานมันยิ่งสุขมหาศาล มันสุขแบบมันฉ่ำ มันเย็น ความสุขของปัญญามันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เวลาที่มันเกิดความรู้ถูก ความเข้าใจถูกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา เข้าใจธรรมะเป็นเรื่องๆ ไป ตรงที่มันเข้าใจมันจะมีความสุขเกิดขึ้นด้วย มันมีความสุขที่สูงกว่านั้นอีก 2 อัน ความสุขตอนที่เกิดอริยผล ตอนที่เกิดอริยผลจิตมันเบิกบานมหาศาล แล้วก็ความสุขตอนที่เราสัมผัสพระนิพพาน มันมีความสุขที่ไม่รู้จะบอกอย่างไร ความสุขของพระนิพพาน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 18 มิถุนายน 2565 คือความสุขจากการพ้นทุกข์ ไม่ใช่ความสุขจากการสร้างภาวะอันใดอันหนึ่งขึ้นมา

Direct download: 650618.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราพัฒนาองค์มรรคทั้งหลาย เพื่อวันหนึ่งเราจะได้รู้ทันสภาวะทั้งหลายตามความเป็นจริง เราจะเห็นเลยว่ารูปธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับบังคับไม่ได้ นามธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับบังคับไม่ได้เหมือนกัน เฝ้ารู้เฝ้าดูลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดจิตจะค่อยๆ พัฒนาเข้าไปสู่ความเป็นกลาง พอเราตามรู้ตามเห็นเนืองๆ ไป ความรู้ถูกความเข้าใจถูกก็จะมากขึ้นๆ สุดท้ายมันจะเข้าสู่ความเป็นกลาง จิตจะไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ไม่แกว่งขึ้นแกว่งลง เดี๋ยวชอบใจ เดี๋ยวไม่ชอบใจ พอจิตมันเป็นกลางจิตก็จะหมดความดิ้นรน ตรงที่จิตมันเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยปัญญานี้ เป็นประตูของอริยมรรค หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 มิถุนายน 2565 ถ้าที่เราสะสมของเรามา ศีล สมาธิ ปัญญามันแก่กล้าพอแล้ว อริยมรรคจะเกิดขึ้นเอง

Direct download: 650612.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราฝึกตัวเองทุกวันๆ ศีลต้องรักษา สมาธิคือการทำในรูปแบบ ต้องทำ ต้องมีเครื่องอยู่ของจิต แล้วก็คอยรู้เท่าทัน จิตใจของเราเป็นอย่างไร คอยรู้เท่าทัน สติมันจะเกิด สมาธิมันก็เกิด ปัญญามันก็เกิด สุดท้ายวิมุตติมันก็เกิด อยากดูว่ากฎแห่งกรรมมีไหม ดูที่จิตเรานี่ล่ะ เวลาเราโมโหมากๆ โกรธเต็มเหนี่ยวเลย ตอนที่หายโกรธแล้ว มาดูสิ จิตรับวิบาก จิตไม่มีความสุขหรอก หรือเวลามีราคะแรงๆ ประเภท แหม หื่นมากเลยอะไรอย่างนี้ พอราคะนั้นผ่านไปแล้ว มาดูสิ จิตผ่องใสหรือเศร้าหมอง เราจะรู้เลยว่า ทำชั่วไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็มีผลที่ไม่ดี ใจมันจะค่อยๆ ขยาดต่อการทำชั่ว จะขวนขวายที่จะทำดีให้มากขึ้นๆ เพื่อจะได้พ้นจากการเวียนว่าย ไม่ได้ทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่อย่างนี้ ใจมันจะค่อยๆ อยากพ้นไป แล้วจะขยันภาวนา ฝึกทุกวันๆ แล้ววันหนึ่งจะได้ดี โลกเขาก็วุ่นวายอย่างนี้ล่ะ เราไม่ห้ามมัน ห้ามมันไม่ได้ แต่เราไม่วุ่นวายไปกับโลก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 มิถุนายน 2565

Direct download: 650611.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พยายามฝึกทุกวัน ถือศีล 5 ไว้ แล้วก็ทำกรรมฐานไว้ แล้วจิตเคลื่อนไปจากกรรมฐานของเรา เรารู้ทัน จิตไปเพ่งกรรมฐาน เรารู้ทัน จิตหนีไปทำอะไร รู้ทันไว้ แล้วจิตมันจะตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่น ไปเห็นสติระลึกรู้สภาวะ ทีแรกก็จะไม่เป็นกลาง เจอสภาวะที่ดี ที่มีความสุขที่ดี เป็นกุศล จิตพอใจ เจอสภาวะที่ทุกข์ หรือที่เป็นอกุศลจิตไม่พอใจ มีสติรู้ซ้ำลงไปอีก จิตยินดีจิตยินร้าย รู้ลงไปอีก ในที่สุดมันก็จะเป็นกลางขึ้นมา เราก็มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ตั้งมั่น ยังไม่เป็นกลางหรอก ค่อยภาวนาไป เห็นสภาวะทั้งหลายหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดมันก็เป็นกลางขึ้นมา ตรงที่จิตตั้งมั่นและเป็นกลางด้วยการเจริญปัญญา มีสติระลึกรู้รูปนามเรื่อยมานั้น จิตจะเป็นกลางด้วยปัญญา เราจะต้องฝึกจนวันหนึ่งมาถึงตรงนี้ให้ได้ เพราะจุดนี้ล่ะคือจุดที่จะแตกหักกับกิเลส หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 มิถุนายน 2565

Direct download: 650605.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เรียนธรรมะ เราเรียนลงที่กายที่ใจ ไม่ได้ไปเรียนที่อื่นหรอก ธรรมะไม่ได้อยู่กับคนอื่นด้วย ไม่ได้อยู่ที่ครูบาอาจารย์ ไม่ได้อยู่ในวัด อยากเรียนธรรมะก็เรียนลงที่กายที่ใจ ค่อยๆ แยกออกมาแล้วก็ดูละเอียดลงไป ทุกสิ่งทุกส่วนที่เราแยกออกไป ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เฝ้าดูลงไป แยกๆๆ สิ่งที่เรียกว่าเรานี้ สุดท้ายจะพบว่าเราไม่มี มันมีแต่ขันธ์ มีแต่รูปธรรมนามธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 4 มิถุนายน 2565

Direct download: 650604.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราชาวพุทธ ขั้นต่ำสุดต้องรักษาศีลให้ได้ เอะอะจะเจริญปัญญาอะไรอย่างนี้ แต่ศีลไม่มีสมาธิมันก็ไม่มี สมาธิไม่มีปัญญามันก็ไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเรื่องใหญ่ ต้องเรียน การเรียนไม่ใช่เรียนด้วยการอ่าน การฟังอย่างเดียว ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ปฏิบัติอะไรบ้าง ปฏิบัติศีล ต้องตั้งใจรักษา แล้วก็ต้องปฏิบัติสมาธิ สมาธิมี 2 อย่าง สมาธิที่จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว กับสมาธิที่จิตตั้งมั่นเห็นสภาวะทั้งหลายแสดงไตรลักษณ์ รูปธรรมก็แสดงไตรลักษณ์ นามธรรมก็แสดงไตรลักษณ์ ต้องเห็น หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 พฤษภาคม 2565
Direct download: 650529.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราก็สามารถเป็นพระอริยบุคคล ทั้งๆ ที่ยังอยู่กับลูกกับเมียอย่างนี้ก็อยู่ได้ อยู่กับสามียังอยู่ได้ อย่างนางวิสาขาหรืออนาถบิณฑิกะ เขาก็เป็นพระอริยบุคคล เขาก็อยู่กับครอบครัวของเขาได้ ทำมาหากินได้ ฉะนั้นความเป็นพระแท้ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบหรอก แต่อยู่ที่จิตของเรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญามากพอไหม มันจะมากพอถ้าเราสะสม ฝึกของเราทุกวันๆ ตั้งอกตั้งใจฝึก แล้ววันหนึ่งเราจะรู้เลยพระสงฆ์อยู่ที่ไหน พระสงฆ์อยู่ที่ใจที่สะอาดนี่เอง สะอาดหมดจดขึ้นมาเป็นลำดับๆ ไป พระธรรมก็ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลยอยู่ที่จิตอันนี้เอง เป็นผู้สัมผัสธรรมะ กระทั่งธรรมะสูงสุดคือพระนิพพาน จิตนั่นล่ะเป็นผู้สัมผัส เราจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าจริงๆ อยู่ที่ไหน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650528.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักธรรมะ คิดว่าเข้าวัดต้องไปไหว้โน้นไหว้นี้ เพราะชีวิตมันไม่มีที่พึ่ง แต่พวกเรามีโอกาสได้เรียนธรรมะแล้ว เรารู้วิธีที่จะฝึกจิตตัวเอง เราสามารถอยู่กับโลกได้โดยมีความทุกข์น้อยๆ ไม่ถึงขั้นอยู่กับโลกแล้วไม่ทุกข์เลยหรอก ถ้าภาวนาจริงจังอันนั้น จิตพ้นโลกไปแล้ว ถึงจะพ้นทุกข์จริงๆ มาหัดภาวนา ภาวนาปฏิบัติ เจริญสติ รักษาศีล สร้างสมาธิ เจริญปัญญาไป เวลาผ่านไปช่วงหนึ่งจะพบความแตกต่าง เราจะรู้สึกเลยว่าคนในโลกน่าสงสาร คนในโลกมันอยู่ในความมืดบอด เราไม่ได้ดูถูกเขา แต่ใจมันสงสาร แล้วก็นึกเมื่อก่อนเราก็เป็นอย่างนี้ล่ะ ดีว่าเราได้พบธรรมะของพระพุทธศาสนา เราก็ลงมือปฏิบัติ เราก็สะอาดหมดจดมากขึ้นๆ ทุกข์น้อยลงๆ อันนี้เราจะรู้ได้ด้วยตัวเอง เราเคยทุกข์นานๆ ก็ทุกข์สั้นลง เคยทุกข์หนักๆ ก็ทุกข์เบาๆ ทุกข์นิดๆ หน่อยๆ ใจมันเปลี่ยน ซึ่งเรารู้ได้ด้วยตัวเอง มันเห็นด้วยตัวเองได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650522.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

คนจะปฏิบัติละเลยการรักษาศีลไม่ได้ ถ้าศีลด่างพร้อยเมื่อไรจิตก็เศร้าหมองทันที ความชั่วแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าทำ ศีล 5 รักษาเอาไว้ ศีล 5 มีประโยชน์มาก อย่างน้อยเราก็ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แล้วก็ไม่เบียดเบียนตัวเอง ใจที่ไม่เบียดเบียนใจมันร่มเย็น สมาธิมันก็เกิดง่าย สมาธิไม่ใช่แปลว่าสงบ มันเป็นภาวะที่จิตใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้ามีสมาธิมากพอ จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวโดยไม่ต้องจงใจทำขึ้นมา ไม่ต้องรักษา มันเป็นอัตโนมัติ สติก็อัตโนมัติ สมาธิก็อัตโนมัติ ปัญญาสุดท้ายก็อัตโนมัติ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 21 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650521.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

อริยสัจเป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของธรรมะเลย ครอบคลุมธรรมะทั้งหมดเอาไว้ได้ ในเรื่องของอริยสัจ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบ บอกอริยสัจเทียบเหมือนรอยเท้าช้าง ยุคนั้นไม่มีไดโนเสาร์แล้ว ช้างใหญ่ที่สุด ท่านบอกรอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย มันไปบรรจุอยู่ในรอยเท้าช้างได้ เล็กกว่ารอยเท้าช้าง ธรรมะทั้งหมดก็ประมวลลงอยู่ในอริยสัจได้ เจ้าชายสิทธัตถะท่านสาวลงมาจนถึงอวิชชา ความไม่รู้แจ้งอริยสัจ ท่านก็รู้เลย โอ้ ถ้ารู้แจ้งอริยสัจเสียตัวเดียว สังสารวัฏก็ถล่มลงต่อหน้าต่อตาเลย ความเวียนว่ายตายเกิดไม่มีอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านค้นพบในตอนใกล้ๆ สว่างแล้ว ท่านค้นพบแล้วท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธะขึ้นมา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 พฤษภาคม 2565

Direct download: 650515.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 9:00am +07

1 « Previous 6 7 8 9 10 11 12 Next » 67