ถ้าเราภาวนาถูกต้อง อกุศลที่มีอยู่มันจะดับ อกุศลใหม่มันจะไม่เกิด หรือว่าเกิดได้เบาบางลง กุศลที่ยังไม่มีก็เกิดมีขึ้น กุศลที่มีแล้วก็เจริญขึ้น พัฒนาเข้มแข็งมากขึ้น ถ้าวัดด้วยวิธีนี้แล้ว มันจะชี้ได้เลยว่าที่ปฏิบัติอยู่ถูกหรือผิด วัดได้ด้วยตัวเอง สังเกตใจตัวเอง อย่าเข้าข้างตัวเอง เวลาเราจะวัดกิเลสตัวเอง ต้องวัดในสภาวะที่จิตอยู่ในสภาวะปกติ อย่าไปทรงสมาธิอยู่ ไปทรงสมาธิอยู่ แล้วจะให้วัด ไม่มีอะไรให้วัดเลย ต้องเป็นจิตที่ปกติ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 พฤศจิกายน 2564

Direct download: 641128.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ต้องฉลาดในการรู้ว่าเราควรกับกรรมฐานอะไร แล้วพอเราทำกรรมฐานเราก็ต้องรู้อีกแล้ว ตอนไหนควรทำสมถะ ตอนไหนควรทำวิปัสสนา ก็ต้องรู้ เจริญปัญญาจนจิตฟุ้งซ่านแล้ว ก็ต้องมีปัญญารู้ว่า ตอนนี้ควรทำสมถะ ทำสมถะอยู่นานสงบ สบาย แล้วเพลินๆ ต้องมีปัญญารู้ตอนนี้ควรเจริญวิปัสสนาแล้ว ที่ว่าเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง ทั้งสมถะและวิปัสสนามันเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 พฤศจิกายน 2564

Direct download: 641127.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ท่านพุทธทาสท่านเคยสอน ชั่วกับดีอัปรีย์พอกัน อัปรีย์หมายถึงไม่น่ารัก ติดในความชั่วอันนี้เลวสุด ติดในความดีก็ทุกข์เหมือนกัน ฉะนั้นทำอย่างไรเราจะไม่ทำชั่ว เราทำความดีแต่ไม่ติด จิตมันชั่ว มีสติรู้ทันแล้วก็อย่าทำ จิตมันปรุงดีขึ้นมา มีสติรู้ทัน เราก็ทำ แต่ว่าอย่าไปติดมัน พวกติดดีก็น่าสงสาร แต่พวกติดดีก็ดีกว่าติดชั่ว แต่ไม่ติดอะไรเลยดีที่สุด พูดง่าย ทำยาก ก็ต้องฝึก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 21 พฤศจิกายน 2564

Direct download: 641121.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การปฏิบัติรู้จักแนวรุกแนวรับ ไม่ใช่ฝืนบังคับตัวเองตลอดเวลาแล้วก็เครียด เครียดแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ได้แต่ความทุกข์ ถ้าฝืนมากบังคับมาก เรียกอัตตกิลมถานุโยค ถ้าตามใจกิเลสไม่รู้จักฝืนเลย ไม่รู้จักบังคับเลย เรียกกามสุขัลลิกานุโยค ก็ย่อหย่อนตามกิเลสไปเหมือนกัน ตัวสำคัญที่จะช่วยเราในการปฏิบัติได้ คือความช่างสังเกตของเรา โยนิโสมนสิการ สังเกตเอา เวลานี้ควรทำให้จิตใจผ่อนคลายก็ทำ เวลานี้ควรทำสมถะก็ทำ เวลานี้ควรเจริญปัญญาก็เจริญปัญญา รู้จักแนวรุกแนวรับของเรา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 พฤศจิกายน 2564

Direct download: 641120.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เรามีอิสระที่จะทำกรรม เราพอใจที่จะหาความสุขในโลกิยธรรม ความสุขอย่างโลกๆ ก็หาไปเถอะ หลวงพ่อไม่ว่าอะไรหรอก หลวงพ่อแค่บอกว่า มันมีความสุขที่เหนือกว่านี้อีก 2 อย่าง คือความสุขของสมาธิ กับความสุขของการเจริญปัญญา จนเกิดมรรคเกิดผลนิพพานขึ้นมา เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ เป็นลำดับไป ทุกคนต้องการความสุข ความสุขที่เราต้องการจะเป็นระดับไหน ก็แล้วแต่พวกเราทุกคนมีอิสระที่จะเลือกเส้นทางในชีวิตของตัวเอง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 พฤศจิกายน 2564

Direct download: 641114.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ทำวิปัสสนาพอสมควร พอจิตเริ่มเหนื่อยก็หยุด อย่าตะบี้ตะบันทำวิปัสสนา ก็ต้องหยุดทำสมถะขึ้นมา ทำสมาธิให้จิตมีกำลังขึ้นมาแล้วไปเดินปัญญาต่อ ถ้าเดินอย่างนี้ทำให้มาก เจริญให้มาก ไม่ขี้เกียจไม่ใช่นานๆ ทำที ทำให้ได้ทุกวันๆ ทำให้ได้มากที่สุดที่จะทำได้ เราก็อาจจะได้มรรคได้ผลในชีวิตนี้ ไม่ต้องรอชาติไหนหรอก ถ้าเราทำไม่ถูก ทำถูกแล้วขี้เกียจ ยังไม่ได้หรอกอีกนาน กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 พฤศจิกายน 2564

Direct download: 641113.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เบื้องต้นถนัดดูกาย เราก็ดูกาย ถนัดดูเวทนา เราก็ดูเวทนา ดูกาย เราก็เห็นกายกับจิตเป็นคนละอัน ดูเบื้องต้น ต่อไปก็เห็นร่างกายนี้ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ถนัดดูเวทนาทางกาย เราก็ดูไป เราก็เห็นไตรลักษณ์ ถนัดดูเวทนาทางใจก็ดูไป แล้วสุดท้ายก็เห็นว่ามันก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ กุศล อกุศลทั้งหลาย ดูไปก็เห็นตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์อีก สุดท้ายตัวจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ สุดท้ายเราก็เห็นขันธ์ 5 ทั้งหมดนั่นล่ะตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 พฤศจิกายน 2564

Direct download: 641107.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ถ้าตามใจกิเลสแล้ว ไม่ว่าจะไปเจริญสติปัฏฐาน ไปนั่งสมาธิ ไปทำวิปัสสนา ไม่ได้เรื่อง ไม่สำเร็จหรอก ฉะนั้นถ้าใครก็ตามจะมาถามหลวงพ่อว่าจะปฏิบัติอย่างไร สำรวจตัวเองก่อนจะถาม กิเลสนั้นเราสู้กับมันไหม หรือเรายอมแพ้มัน ถูกมันลากจูงจมูกทั้งวันอย่างนั้น ถ้าแบบนั้นยังไม่ต้องมาถาม ว่าเจริญสติ เจริญปัญญาอย่างไร มันทำไม่ได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 พฤศจิกายน 2564

Direct download: 641106.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การภาวนาจุดตั้งต้นเลย รู้สึกตัวขึ้นมาให้ได้ ถ้ายังไม่รู้สึกตัว ไม่มีทางภาวนา รู้สึกตัวได้แล้ว ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ขั้นต่อไปคือการแยกขันธ์ แยกธาตุแยกขันธ์ พอแยกธาตุแยกขันธ์ได้แล้ว งานต่อไปคือการทำวิปัสสนาแล้ว การเห็นธาตุเห็นขันธ์แต่ละอย่างๆ แสดงไตรลักษณ์ หน้าที่เราก็มีแค่นี้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 ตุลาคม 2564

Direct download: 641031.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

จะดูไตรลักษณ์ของรูปนามได้ จิตต้องมีลักขณูปนิชฌาน คือมีความตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้เห็น เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ถ้าลำพังเห็นรูปเห็นนามเรียก อารัมมณูปนิชฌาน เพ่งตัวอารมณ์ ใช้รูปเป็นอารมณ์ ใช้นามเป็นอารมณ์ ใช้บัญญัติเป็นอารมณ์ หรือกระทั่งใช้นิพพานเป็นอารมณ์ อันนั้นเป็นอารัมมณูปนิชฌาน แต่ตรงที่เห็นนิพพานจริงๆ มันเป็นลักขณูปนิชณาน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 30 ตุลาคม 2564

Direct download: 641030.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

การทำกรรมฐาน ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกเวลา เมื่อไรมีสติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น คือมีสัมมาสมาธิ แล้วก็เป็นกลาง เมื่อนั้นเราเดินปัญญาอยู่ เมื่อไรเรามีสติระลึกรู้อารมณ์อันเดียวอยู่ อันนั้นก็ภาวนาเหมือนกัน แต่เป็นระดับสมถกรรมฐาน ไม่ถึงวิปัสสนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 ตุลาคม 2564

Direct download: 641023.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

พวกเรารักษาศีล 5 ความชั่วอะไรยังไม่ละก็ละเสีย แล้วก็ไม่ไปทำความชั่วขึ้นมาอีก กุศลอะไรยังไม่ได้ทำก็ทำเสีย เจริญเสีย ตัวกุศล มันก็คือตัวศีล สมาธิ ปัญญานั่นล่ะ ก็พัฒนามันไป จิตมันก็จะเกิดอโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นตัวกุศลจริงๆ อโมหะก็คือตัวปัญญานั่นล่ะ ค่อยๆ ฝึก พัฒนาตัวเอง กุศลอะไรยังไม่ทำก็ทำเสีย กุศลอะไรที่ทำได้แล้วก็รักษาเอาไว้ ไม่ใช่ทำแล้วก็เลิกๆ เมื่อไหร่มันจะดี เหมือนการภาวนา ต้องทำทุกวัน ถ้าทำตั้งแต่ตื่นจนหลับได้ดีที่สุด ถ้ายังมีหน้าที่การงาน ทางโลกก็ทำงานไป ถึงเวลาทำงานก็ทำหน้าที่ของเราไป มีเวลาเมื่อไหร่ก็มารู้กายรู้ใจ มีสติ มีจิตตั้งมั่น อย่างนี้เราถึงจะพัฒนาตัวเองได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 ตุลาคม 2564

Direct download: 641024.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

Direct download: 641017.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

ลงมือปฏิบัติจริงๆ ทิ้งไม่ได้เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ศีลต้องรักษา สมาธิต้องฝึก ปัญญาต้องเจริญ ถ้าเราทำอย่างนี้เราก็จะค่อยๆ มีปัญญา เห็นความจริงของธาตุของขันธ์เป็นลำดับๆ ไป พอเราฝึกรักษาศีลให้ดี สมาธิมันก็ฝึกง่าย ศีลเสียสมาธิก็ไม่มี แตกหมด หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 ตุลาคม 2564

Direct download: 641016.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

ธรรมเทศนา ที่บ้านจิตสบาย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม วันที่ 4 พฤษภาคม 2557

Direct download: 570504.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 4:21pm +07

"เราต้องฝึกมีความคิดถูก มีความเห็นถูก มีความคิดถูก มีคำพูดถูก มีการกระทำถูก มีการเลี้ยงชีวิตถูก แล้วก็ลงมือภาวนา มีเป้าหมายที่ถูก ลดละกิเลสเจริญกุศล จะลดละกิเลสเจริญกุศลได้ ต้องมีสติ ระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจไป พอมีสติถูกต้อง สมาธิที่ถูกต้องหรือตัวผู้รู้ จิตที่เป็นผู้รู้คือจิตที่มีสมาธิที่ถูกต้องมันจะเกิดขึ้นเอง อาศัยสติที่บริบูรณ์ จะทำให้สัมมาสมาธิเจริญขึ้นมาบริบูรณ์ได้ พอจิตเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว สติระลึกรู้รูป รู้นาม จะเห็นแต่ไตรลักษณ์ พอเห็นอย่างแท้จริง เรียกว่าเราเจริญในญาณทัศนะที่ถูกแล้ว ทำวิปัสสนาญาณอยู่ถูกต้องเรียกสัมมาญาณะ ตัววิปัสสนาญาณนั่นล่ะ สุดท้ายอริยมรรคอริยผลมันก็เกิด สัมมาวิมุตติเกิดขึ้น นี่คือเส้นทาง" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 ตุลาคม 2564

Direct download: 641010.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 7:00am +07

พวกเราก็ได้อาศัยสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน มาพัฒนาใจตัวเอง อยู่กับปัจจุบันไป ดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงานไป ไม่ให้ใจฟุ้งซ่าน ลืมกายลืมใจไปเรื่อย พอลืมกายลืมใจแล้วจิตมันไปไหน จิตมันไปอดีต ไประลึกชาติ เช่น เมื่อปีกลายเราเป็นอย่างนี้ เมื่อปีโน้นเราเป็นอย่างนี้ เรารู้จักคนโน้นคนนี้ ตอนนี้หายไปไหนหมดแล้ว ตายไปหมดแล้ว จิตไม่อยู่กับปัจจุบัน จิตมัวแต่ระลึกชาติ คิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่เคยผ่านมาแล้ว หรือจิตคำนึงไปถึงอนาคต กังวลในอนาคตจะทำอย่างไรๆ กลัวความทุกข์ในอนาคต หรืออยากมีความสุขในอนาคต จนลืมกลัวความทุกข์ในปัจจุบัน ลืมที่จะรู้จักความสุขในปัจจุบัน ห่วงอนาคตจนทิ้งปัจจุบัน อนาคตมันเหมือนความฝัน ปัจจุบันมันเป็นความจริง มัวแต่ห่วงความฝันแล้วทิ้งความจริง ไม่จัดว่าฉลาด หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 ตุลาคม 2564

Direct download: 641009.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

อาศัยมีสติรู้พฤติกรรมของจิตตัวเองเรื่อยๆ ไป เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวชั่ว รู้ไป จิตไม่เป็นกลาง ยินดียินร้ายขึ้นมา ยินดีต่อความสุข ยินร้ายต่อความทุกข์ ยินดีต่อกุศล ยินร้ายกับอกุศล รู้ทัน จิตจะเป็นกลางด้วยสติ พอรู้เรื่อยๆ ไป ต่อไปก็เป็นกลางด้วยปัญญา รู้ว่าสุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่ว เสมอภาคกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ มันจะเป็นกลางด้วยปัญญา พอเป็นกลางด้วยปัญญา จิตจะหมดความดิ้นรนปรุงแต่ง จิตจะพ้นจากภพ แล้วสัมผัสพระนิพพาน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 ตุลาคม 2564

Direct download: 641003.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

กฎของการดูจิต ข้อหนึ่ง ให้สภาวะเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยรู้ว่ามีสภาวะเกิด ข้อสอง ระหว่างดูสภาวะไม่ถลำลงไปดู ดูแบบคนวงนอก ข้อสาม เมื่อรู้สภาวะแล้ว จิตหลงยินดีให้รู้ทัน จิตหลงยินร้ายให้รู้ทัน จิตก็เป็นกลาง ไม่ยินดี ไม่ยินร้ายกับสภาวะ สุขหรือทุกข์ก็เท่าเทียมกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ ดีหรือชั่วก็เท่าเทียมกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ เราจะเห็นถึงไตรลักษณ์ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 ตุลาคม 2564

Direct download: 641002.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

อาศัยนาทีสุดท้าย ช่วงสุดท้ายของชีวิตเจริญสติไว้ หัดแยกขันธ์ไปเรื่อยๆ ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง ความเจ็บปวดอยู่ส่วนหนึ่ง ดูไป ความเจ็บป่วยกับร่างกายมันคนละอันกัน ความเจ็บปวดกับจิตก็เป็นคนละอันกัน จิตเป็นคนรู้ว่าเจ็บปวด จิตไม่เคยเจ็บปวดหรอก จิตมันมีแต่กิเลสรุมเร้าเอา มันคนละส่วน กิเลสก็ไม่ใช่ความเจ็บปวด เราค่อยๆ แยกไป แยกขันธ์ไปเรื่อยๆ แล้วเราจะเหลือแต่ความเจ็บปวดจริงๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับร่างกาย ร่างกายไม่ได้เจ็บ เพียงแต่ความเจ็บมันมาอาศัยอยู่ในร่างกาย แล้วจิตใจก็ไม่ได้เจ็บไปด้วย จิตใจเป็นคนรู้คนดู ถ้าเราสามารถรักษาจิตใจให้เป็นคนรู้คนดูได้ จิตของเราดีแล้ว ถ้าตายไปอย่างไรก็ไปสุคติ เพราะเรามีสติรักษาจิตเอาไว้ได้อย่างดีแล้ว เป็นกุศลอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 กันยายน 2564

Direct download: 640926.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 5:00pm +07

อยู่ตรงไหนก็มีธรรมะ หัดมองให้เป็นแล้วจะเห็นธรรมะ ธรรมะอยู่กับโลกก็อยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว อยากพ้นโลกไปก็จะเห็นว่าตัวเราไม่มีหรอก มีแต่รูปธรรมนามธรรม ค่อยๆ ฝึกไป แล้วเราก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเดินให้เราดู เราไหว้พระพุทธรูปเรานึกถึงพระพุทธเจ้า แต่เดิมท่านก็มีกิเลสท่านก็เคยทำความผิด ทำไมท่านเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยธรรมะอันใด ถ้าเราเดินอยู่ในธรรมะอันนั้น วันหนึ่งเราก็ไปเหมือนท่านได้ สอนตัวเองไปอย่างนี้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 กันยายน 2564

Direct download: 640925.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 10:00am +07

จับหลักให้แม่นๆ แล้วลงมือทำ จะได้ไม่พลาด ที่ภาวนาแล้วใช้เวลานานมาก เพราะภาวนาผิด ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของกระจอก ถ้าทำถูกแล้วทำพอ เราจะได้ผลในเวลาอันสั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ลัดสั้นไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทำกันนาน มองไม่เห็นผล ไม่เห็นฝั่ง ทำไปเรื่อยๆ ไม่รู้เหตุรู้ผล ไม่ใช่ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจริงๆ หรอก ยิ่งพระพุทธเจ้าเราเป็นปัญญาธิกะ ท่านเดินมาด้วยปัญญา ใช้สังเกตค้นคว้าพิจารณาเอาจนได้หลัก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 กันยายน 2564

Direct download: 640919.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

มีร่างกายนี้ก็สร้างความดีไปเรื่อยๆ เรียกว่าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีให้มีคุณค่า เป็นคนดี แล้วถ้าจะดีกว่านั้นอีก เอาร่างกายมาภาวนา มาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำสมถะ ทำวิปัสสนา อาศัยร่างกายทั้งนั้น มีสติระลึกรู้ลงไปในร่างกาย มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู คือจิตทรงสมาธิที่ถูกต้อง มีสติระลึกรู้ลงในร่างกาย ไหนๆ ก็มีร่างกายแล้ว แทนที่จะให้มันเป็นเครื่องมือของกิเลส เอามันมาใช้เป็นเครื่องมือผลิตสติผลิตปัญญาของเรา เราใช้ทรัพยากรใช้กรรมเก่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดเลย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 18 กันยายน 2564

Direct download: 640918.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00pm +07

เวลาเราภาวนาแล้วเกิดข้อสงสัยขึ้นมา ไม่ต้องไปคิดมาก แขวนข้อสงสัยไว้ แล้วภาวนาของเราไปเรื่อยๆ มันจะรู้สักวันหนึ่ง จะนานเท่าไหร่ก็ช่างมัน เราภาวนาของเราไป ถึงจุดหนึ่งมันก็เข้าใจขึ้นมา ตรงที่จิตมันทรงสมาธิขึ้นมา ปัญญามันจะเกิด ฉะนั้นการภาวนา ไม่ใช่การมานั่งถามครูบาอาจารย์ตลอดเวลา แต่ปฏิบัติไป ถ้าจิตมันมีสติ จิตมันมีสมาธิ แล้วปัญญามันเกิด มันตอบปัญหาได้เอง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กันยายน 2564

Direct download: 640912.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

เราหัดภาวนาไปเรื่อยๆ ถ้าเราเข้าใจธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ เจริญแล้วเสื่อมในทุกด้าน สุขได้ก็ทุกข์ได้ ดีได้ก็ชั่วได้ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ นี้คือธรรมะประจำโลก คือธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ ถ้าใจยอมรับว่าโลกต้องเป็นอย่างนี้ ตัณหามันจะไม่เกิด แล้วยิ่งถ้าเราภาวนาได้ประณีตลึกซึ้ง เรารู้ว่ารูปนามกายใจของเรานี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมดความยึดถือในรูปนามกายใจ คราวนี้เราจะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 กันยายน 2564

Direct download: 640911.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07

1 « Previous 9 10 11 12 13 14 15 Next » 67