ถ้าภาวนาไปเรื่อยๆ จิตรวมวูบหมดความรู้สึก อาจารย์บอกได้โสดาบัน วูบครั้งที่สองได้สกทาคามี ครั้งที่สามได้อนาคามี ครั้งที่สี่เป็นพระอรหันต์อะไรอย่างนี้ ถ้าเขาพยากรณ์อย่างนี้ เราก็ต้องเทียบกับตำรา บอกว่าได้โสดาบัน พระโสดาบันมีคุณสมบัติอะไร ก็ต้องละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้ ต้องมีศีลอันงาม ไม่มีความด่างพร้อย เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ไม่มีสรณะอื่น นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณสมบัติที่ดีของพระโสดาบัน เรามาวัดใจตัวเองเลย มีไม่มี ถ้าจิตรวมวูบไปแล้วก็ เวลาคิด เวลานึก เวลาเผลอ ยังมีเราอยู่ มีเราซ่อนอยู่ มันก็ยังไม่ขาดจริง มันขาดด้วยกำลังสมาธิ แต่ไม่ได้ขาดด้วยกำลังของมรรค เวลามีสมาธิขึ้นมา ตัวตนไม่มีก็ได้ เพราะความเป็นตัวตนไม่ได้เกิดตลอดเวลา มันเกิดเป็นคราวๆ เหมือนกิเลสตัวอื่นนั่นล่ะ เพราะฉะนั้นเวลาภาวนาจิตสงบลงไป แล้วบอกไม่มีตัวตน ตอนนั้นไม่มี ออกจากสมาธิมาก็มี เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะวัดกิเลสว่าบรรลุชั้นไหนๆ ให้วัดในสภาวะที่จิตเป็นปกติของมนุษย์ธรรมดาๆ นี้ อย่าไปวัดในขณะจิตทรงฌานอยู่ อย่างถ้าเข้าไปถึงอากิญจัญญายตนะ ไม่ยึดทั้งจิต ไม่ยึดทั้งอารมณ์ ทรง มันทรงสภาพคล้ายกับนิพพานมากเลย สภาวะ แล้วก็บอกว่าเข้าถึงพระนิพพานแล้ว พอถอยออกมาก็กิเลสเหมือนเดิม พอออกมาอยู่กับโลกข้างนอกนี่ กิเลสมันก็แสดงตัวขึ้นมา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 มิถุนายน 2567

Direct download: 670608.mp3
Category:Dhamma Talks -- posted at: 6:00am +07